การประเมินอาการปวดในผู้ป่วยโรค Sickle Cell Disease (SCD)
1. การประเมินเบื้องต้น
ผู้ป่วย SCD ที่มาด้วยอาการปวดเฉียบพลัน
ควรได้รับการประเมินอย่างรวดเร็วเพื่อคัดกรองภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
พร้อมกับเริ่มการรักษาอาการปวดทันที ไม่ควรรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนเริ่มให้
analgesia
2. ลักษณะของอาการปวดแบบ Vaso-occlusive
Pain
- มักเป็นอาการปวดรุนแรง เกิดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน
และเป็นต่อเนื่องตลอดชีวิต
- ตำแหน่งที่พบบ่อย: หลัง, หน้าอก, ท้อง, กระดูกยาว
- ในทารกอาจพบ dactylitis (นิ้วมือ/นิ้วเท้าบวมจาก
infarction)
- มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือน
- Neuropathic
pain มักพบมากขึ้นเมื่ออายุมาก
และอาจวินิจฉัยต่ำกว่าความเป็นจริง
การประเมินที่ดีที่สุดคือ การซักถามจากผู้ป่วยหรือครอบครัว
เกี่ยวกับความรุนแรงของอาการปวด และเปรียบเทียบกับอาการปวดที่เคยมี
3. สัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่ามีภาวะแทรกซ้อน
- อาการปวดไม่เหมือนเดิม (atypical pain)
- สัญญาณชีพผิดปกติ
- CBC หรือ reticulocyte count เปลี่ยนแปลงจาก baseline
อย่างมาก เช่น:
- Leukocytosis/Leukopenia
อาจเป็น infection หรือ acute
chest syndrome
- Hemoglobin
ลดลงมาก อาจเกิดจาก bone
marrow suppression, sequestration, หรือ hemolysis
- Hemoglobin
เพิ่มขึ้น อาจเกิดจาก severe
dehydration
- Reticulocyte
count ลดลง สงสัย bone
marrow suppression
- Reticulocyte
count สูงมาก อาจเกิดจาก hemolysis
หรือ sequestration
- อาการร่วม เช่น jaundice, hematuria, abdominal
distention, hypoxia, cough, หรือ fever
4. ยาที่อาจทำให้เกิดอาการปวด
- เช่น iron chelating agent (deferasirox), L-glutamine,
หรือ omega-3
5. ความสำคัญของการให้ analgesia อย่างทันท่วงที
- Opioids
มักจำเป็น
- ควรให้ภายใน 30 นาที หลังมาถึงสถานพยาบาล
- ไม่ควรใช้ผล lab มาชะลอการให้ยา
6. ภาวะที่อาการปวดอาจเกิดจาก serious
conditions
คือ มีอาการปวดหลายตำแหน่ง หรือ ปวดแบบไม่จำเพาะ
อาจเป็นอาการนำของโรคดังต่อไปนี้
6.1 Multiorgan failure
- อาการ: severe diffuse pain, fever, tachycardia, tachypnea,
hypotension
- lab: มีลักษณะของ
bone marrow suppression, hemolysis หรือ rhabdomyolysis
เช่น ↓Hb, ↓platelets, ↑LDH, ↑bilirubin, ↑CPK, ↑Cr,
- ต้องได้รับการดูแลฉุกเฉิน และพิจารณา exchange transfusion
6.2 Rapidly Progressive Acute Chest Syndrome (ACS)
- มี respiratory failure ภายใน 24 ชม.
- มักเกิดร่วมกับ multiorgan failure
6.3 Hemolytic Transfusion Reaction (HTR)
- แบ่งเป็น Acute HTR (ทันที) และ Delayed
HTR (ได้ถึง 1 เดือน)
- AHTR มาด้วย chest/back pain, fever, red
urine, red plasma, oozing from catheter; Lab มี DIC (PT,
aPTT เพิ่มขึ้น; fibrinogen ลดลง,
D-dimer เพิ่มขึ้น) และ hemolysis
(Hb ลดลง; LDH, bilirubin เพิ่มขึ้น)
- DHTR มาด้วย painless jaundice; Lab มี hemolysis
- อาจเหมือนกับ vaso-occlusive crisis ได้
6.4 Opioid withdrawal
- อาจมี diffuse pain, tachycardia, rhinorrhea,
abdominal cramping
- มักเกิดในผู้ป่วยที่ได้รับ opioids เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้
taper
7. วินิจฉัยแยกโรคจากอาการร่วม
Jaundice
- อาจบ่งชี้ hemolysis, liver disease, หรือ HTR
Headache / Mental status change
- อาจเกิดจาก:
- stroke
- aneurysm
- CNS
infection
- ต้องพิจารณา neuroimaging และ blood
transfusion ถ้าสงสัย stroke
Chest pain
- พิจารณา:
- Acute
chest syndrome
- Pneumonia
- PE
- Cardiac
ischemia
- Rib
infarction
- ตรวจ: CXR, D-dimer, ECG
Abdominal pain
- อาจเกิดจาก:
- Hepatic/splenic
sequestration
- Cholecystitis,
pancreatitis
- UTI,
pyelonephritis
- Gynecologic
causes เช่น ectopic pregnancy, endometriosis
- Opioid-induced
constipation
Extremity pain
- Differential
diagnoses ได้แก่:
- Bone
infarction
- Avascular
necrosis
- Dactylitis
- Osteomyelitis
- DVT
การรักษาอาการปวด
บทบาทของทัศนคติของผู้ให้บริการ
1. ทัศนคติเชิงลบของผู้ให้บริการมีผลต่อการประเมินและการรักษา
- ความเข้าใจผิด เช่น การไม่เชื่อรายงานความปวดของผู้ป่วย (self-report
of pain) หรือเชื่อว่าผู้ป่วยต้องการยาเพราะติดยา (drug-seeking
behavior) ทำให้เกิด การประเมินความปวดที่ไม่ถูกต้อง และนำไปสู่
การรักษาที่ไม่เพียงพอ
- ความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ให้บริการสุขภาพ
ส่งผลเสียต่อ ความสัมพันธ์ในการดูแลรักษา
2. ภาษาเชิงอคติมีผลต่อการตัดสินใจรักษา
- การใช้ ภาษาที่มีอคติ (biased language) ในบันทึกทางการแพทย์มีผลทำให้ผู้ให้บริการเลือกการรักษาความปวดที่ ไม่เข้มข้นพอ
3. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มแพทย์และพยาบาล
- 86% ของแพทย์ในโรงเรียนแพทย์ ไม่เชื่อว่ารายงานความปวดของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด
- 50% ของแพทย์ฉุกเฉิน และ 23% ของ hematologists
เชื่อว่าผู้ป่วย SCD ติด opioids
- 63% ของพยาบาลเชื่อว่า การเสพติดเกิดขึ้นบ่อย และจำนวนมากลังเลที่จะให้
opioids ขนาดสูง
4. การลดอคติสามารถทำได้ด้วยการศึกษา
- วิดีโอให้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะของ sickle cell pain และอธิบายว่า provider bias มีผลต่อการดูแลอย่างไร
สามารถช่วย ลดทัศนคติเชิงลบ ต่อผู้ป่วย SCD ได้
5. การประเมินความปวดควรอิงตามรายงานของผู้ป่วย
- ไม่มีการตรวจร่างกายหรือผล lab ที่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าผู้ป่วยมีอาการปวดหรือไม่
- Self-report
of pain เป็นมาตรฐานในการประเมินความปวด
- ห้ามใช้ placebo เพื่อตรวจสอบว่าผู้ป่วยปวดจริงหรือไม่
เพราะจะทำลายความไว้วางใจและยืดเวลาการรักษา
หลักการสำคัญของการจัดการอาการปวดเฉียบพลันในผู้ป่วย SCD
1.
การรักษาที่เร็ว รุนแรง
และเพียงพอ เป็นหัวใจของการดูแล SCD อย่างมีประสิทธิภาพ
2.
แนวทางประกอบด้วย:
o Home
therapy: ควรมีแผนการดูแลเฉพาะบุคคลที่ชัดเจน
ทั้งการใช้ยาและวิธีการติดต่อเมื่อควบคุมอาการปวดที่บ้านไม่ได้
o Rapid
and thorough assessment: การประเมินอาการปวดและภาวะแทรกซ้อนของ
SCD อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมาถึง emergency
department (ED) หรือ day hospital
o Rapid
and effective analgesia: ควรให้ยาแก้ปวด (analgesia) อย่างรวดเร็ว และติดตามผลบ่อยครั้ง หากไม่ดีขึ้น ควรนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ continuous
opioids ผ่าน patient-controlled analgesia (PCA)
o Other
considerations: ควรดูแลเรื่อง hydration, การป้องกัน venous thromboembolism, การทำงานของไตและตับ
รวมถึงผลข้างเคียงจาก opioids
การดูแลอาการปวดนอกโรงพยาบาล
Home management
- 29% ของวันมีอาการปวด
- 3.5% ของวันต้องการการดูแลจากแพทย์
- 38% ของวัน ผู้ป่วยดูแลอาการปวดเองที่บ้าน (80% ใช้
opioids)
ควรมี opioids ทั้งแบบ short-acting
และ long-acting พร้อมแผนการใช้ยาและเกณฑ์ชัดเจนว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์
ผู้ที่ไม่ได้ใช้ opioids ประจำ:
- ใช้ non-opioid therapy เช่น acetaminophen
หรือ NSAIDs สำหรับอาการปวดเล็กน้อย
- ใช้ adjuvant therapies เช่น
การฝึกหายใจ การผ่อนคลาย และการประคบร้อน (ห้ามใช้น้ำแข็ง)
- หากปวดมากขึ้น ควรใช้ opioids ที่แรงขึ้นตามระดับความปวด
ผู้ที่มี chronic pain:
- เริ่มต้นด้วยขนาดยาที่เคยได้ผล และปรับเพิ่มหากไม่พอ
- ควรมี short-acting opioids สำหรับ breakthrough
pain เช่น morphine, oxycodone หรือ hydromorphone
***ควรมีการให้ความรู้เรื่องสัญญาณอันตราย เช่น ไข้ ไอ หรืออาการของ stroke,
acute chest syndrome (ACS), splenic sequestration หรือ aplastic
crisis พร้อมช่องทางติดต่อแพทย์
Day Hospital / Infusion Center
- ศูนย์ดูแลที่มีประสบการณ์ใน SCD สามารถประเมินและรักษาได้เร็วและดีกว่า
ED
การใช้ยาแก้ปวดนอก ED
Opioid therapy
- ใช้ controlled-release (CR) agents เช่น
CR-morphine (ออกฤทธิ์ช้ากว่า ใช้เวลาถึง 2–4 ชั่วโมง), CR-oxycodone (ออกฤทธิ์เร็วกว่า
(ประมาณ 30 นาที) และนานกว่า (12 ชั่วโมงเทียบกับ
8 ชั่วโมง))
- ร่วมกับ short-acting opioids สำหรับ pain
flare หรือ breakthrough pain
- หลีกเลี่ยงการใช้ opioids ร่วมกับ acetaminophen
ต่อเนื่องเกิน 48–72 ชม. เพราะเสี่ยงต่อ acetaminophen
toxicity และอาจบดบังไข้
- ไม่แนะนำให้ใช้ codeine โดยเฉพาะในเด็ก
<12 ปี เพราะเสี่ยงต่อ respiratory depression และอาจไม่มีฤทธิ์ในผู้ที่มี CYP2D6 polymorphism
การดูแลอาการปวดในโรงพยาบาล
1. การประเมินอาการปวด
- ผู้ป่วย SCD มักมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่ช่วงอายุ
6 เดือน และอาจมีต่อเนื่องตลอดชีวิต
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ยาอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ drug-seeking
behavior หรือ substance use disorder
- การประเมินที่ดีที่สุดคือ “การรายงานของผู้ป่วยหรือครอบครัว” เอง
- ผลเลือด (เช่น hemoglobin) หรือการไม่มี
hemolysis ไม่ควรใช้ตัดสินว่าไม่มีอาการปวด
- ควรถามว่าปวดครั้งนี้ “เหมือนหรือแตกต่าง”
จากอาการปวดที่เคยมีหรือไม่ เพื่อแยกโรคอื่นที่อาจร่วมด้วย
2. ลักษณะของอาการปวด
- Location:
ปวดบริเวณแขน ขา หลัง หน้าอก ท้อง โดยมักมีหลายจุดพร้อมกัน
- Intensity:
ตั้งแต่ปวดเล็กน้อยจนถึงรุนแรงมาก ใช้เครื่องมือวัด เช่น Wong-Baker
FACES scale, Visual Analog Scale
- Neuropathic
pain อาจพบมากขึ้นตามอายุ มักแสดงอาการ allodynia,
ไวต่ออุณหภูมิ
- Duration:
อาจนานหลายชั่วโมงถึงหลายวัน หากนานเกิน 6–10 วัน (เด็ก/ผู้ใหญ่) ต้องสงสัยโรคอื่น
3. โรคร่วมที่อาจเกิดขึ้น
- ต้องระวังภาวะรุนแรง เช่น:
- Acute
Chest Syndrome (ACS)
- Acute
stroke
- Hypoxia
- ควรเฝ้าระวังด้วย pulse oximetry และสัญญาณของการหายใจลำบาก
การรักษาเบื้องต้น
ควรให้ opioids ภายใน 30
นาที
- ให้การดูแลระดับ ESI 2
- ใช้ยาเช่น:
- IV morphine (0.1–0.15 mg/kg, max 10 mg)
- IV hydromorphone (0.02–0.05 mg/kg, max 1.5 mg)
- Intranasal fentanyl ในเด็ก (ระวังขนาดและจำนวนครั้ง)
- Ketamine อาจพิจารณาในรายที่ไม่ตอบสนองต่อ opioids
การประเมินซ้ำ
- ประเมินทุก 20–30 นาที
- หากไม่ดีขึ้น ให้เพิ่มขนาดยา 20–50% จากครั้งก่อน
- หากให้ยาเกิน 3 ครั้งแล้วยังไม่ดีขึ้น พิจารณา admission และให้ continuous opioids หรือ PCA
การให้ยาแบบ Patient-Controlled
Analgesia - PCA
ข้อดีของ PCA:
- ควบคุมอาการปวดได้ต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยสามารถกดปุ่มให้ยาเองในปริมาณที่ปลอดภัย
- ลดการต้องรอพยาบาลให้ยา PRN
ยาที่ใช้:
- IV morphine หรือ hydromorphone
- แบ่งเป็น:
- Basal infusion (ให้ต่อเนื่อง)
- Demand dose (สำหรับ pain flares หรือ breakthrough pain)
การปรับขนาดยา:
- หากผู้ป่วยกด demand dose > 3 ครั้ง/ชั่วโมง ติดกัน 2 ชั่วโมง ให้ปรับขนาดยาเพิ่ม
- ทุกคนควรมีคำสั่งยาสำหรับ breakthrough pain แยกต่างหากด้วย
การรักษาที่ไม่แนะนำ
- ห้ามใช้ placebo หรือ PRN only
- หลีกเลี่ยง sedatives/anxiolytics ในการลดปวดโดยไม่มีเหตุผล
- หลีกเลี่ยง NSAIDs โดยเฉพาะ ketorolac ในการ admit ผู้ป่วย เพราะเสี่ยงต่อ acute kidney injury (อาจใช้ระยะสั้นไม่เกิน 12 ชม. เช่นใน ED)
- หลีกเลี่ยงการให้ oxygen โดยไม่มี desaturation (drop > 4% จาก baseline) เพราะบดบัง desaturation เมื่อเกิดขึ้น
- หลีกเลี่ยง routine transfusion ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อนเช่น ACS หรือ stroke
Hydration, Adjuvant Therapies, and Medication Management
- ปัจจัยที่ทำให้ปวดรุนแรงขึ้น ได้แก่:
- การใช้ opioids ไม่เพียงพอ (กลัวผลข้างเคียงหรือการพึ่งยา)
- การเปลี่ยนแปลงของ opioid metabolism
- มีส่วนของ neuropathic pain หรือ psychological factors
- ภาวะ hypoventilation, insomnia, หรือการดื่มน้ำน้อย
Hydration
- ผู้ป่วยมักมีภาวะ hypovolemia ขณะเกิดอาการปวด
- ให้ IV normal saline 0.5–1 L เป็น bolus
เริ่มต้น แล้วตามด้วยการให้สารน้ำ IV/ORAL ต่อเนื่อง (~2 L/m²/วัน)
- หลีกเลี่ยง hypernatremia เพราะจะกระตุ้นการ
sickling จาก RBC dehydration
- ควรเฝ้าระวังภาวะ heart failure และ pulmonary
edema โดยเฉพาะในผู้ที่มี renal หรือ cardiac dysfunction
Hydroxyurea
- ควรให้ต่อในช่วงนอนโรงพยาบาล หากไม่มีภาวะ cytopenia
- หากยังไม่ได้รับ hydroxyurea แนะนำเริ่มใช้เมื่อผู้ป่วยฟื้นตัวใน
OPD เพื่อลดอาการในอนาคต
Ketamine
- ใช้ได้ในผู้ป่วยที่ปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อ opioids
- ขนาด: intranasal 0.25–1 mg/kg หรือ IV
infusion 3–5 mcg/kg/min (0.3 mg/kg/h)
- ช่วยลด opioid tolerance ผ่านการยับยั้ง
NMDA receptor
- มีฤทธิ์ช่วยลด depression และใช้เฉพาะโดยผู้ที่เชี่ยวชาญ
Adjuvant Therapies
- Psychosocial
support เช่น CBT, yoga, self-hypnosis
- หลีกเลี่ยง ice packs เพราะกระตุ้น sickling
ได้
- รักษา insomnia และหากจำเป็นใช้ melatonin
- Antidepressants
ใช้เฉพาะในผู้ที่มี chronic pain
NSAIDs
- ASH
2020 แนะนำให้ใช้ NSAIDs ระยะสั้น
(5–7 วัน) ร่วมกับ opioids
- หลีกเลี่ยงในผู้มีความเสี่ยง acute tubular necrosis (ATN)
โดยเฉพาะเมื่อมี dehydration
- Ketorolac
ไม่ควรใช้ในผู้ใหญ่ที่นอนโรงพยาบาล
เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและยังไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดอาการปวด
การรักษาที่ไม่แนะนำ
- Ice/cold
compresses: กระตุ้น sickling
- Meperidine:
เสี่ยงต่อ seizures จาก normeperidine
- Ketorolac,
NSAIDs (ในโรงพยาบาล): เสี่ยง renal
toxicity
- Transfusion:
ไม่ควรใช้หากไม่มีภาวะ symptomatic anemia
- Magnesium
และ glucocorticoids: ไม่มีหลักฐานประสิทธิภาพเพียงพอ
- Oxygen:
ใช้เฉพาะในภาวะ hypoxemia
- Antiplatelet
agents: ไม่ลดอัตราการเกิด vaso-occlusive pain
Special groups
- Renal
dysfunction: หลีกเลี่ยง morphine, ใช้
hydromorphone ด้วยความระมัดระวัง
- Hepatic
dysfunction: ลดขนาด opioid
- Pregnancy:
หลีกเลี่ยง NSAIDs หลัง 30 สัปดาห์
Discharge/Outpatient Care
- Opioid
taper ภายใน 3–5 วันหลังออก รพ.
- นัด follow-up ภายใน 7 วัน
(สูงสุดไม่เกิน 14 วัน)
- แนะนำให้รับยา opioids จาก outpatient
hospital pharmacy ก่อนกลับบ้าน
- มีการศึกษาระบุว่าผู้ที่ได้รับ opioid กลับบ้านมีอัตรา
readmission ต่ำกว่าผู้ที่ได้ NSAIDs เท่านั้น
Transition to Pain Prevention
ควรมีแผนการรักษาเพื่อป้องกันอาการปวดในระยะยาว:
- การใช้ยาเพื่อป้องกัน vaso-occlusion
- การสนับสนุนด้านจิตสังคม
- ยาต้านซึมเศร้า (ในกรณีมี chronic pain)
Opioid Side Effects
- Sedation:
เฝ้าระวัง respiratory depression, ใช้ pulse oximetry, incentive spirometry, หลีกเลี่ยงยากดประสาทอื่นๆ
- Gastrointestinal:
ท้องผูกและคลื่นไส้เป็นเรื่องปกติ ใช้ stimulant
laxatives และ ondansetron
- Pruritus:
รักษาด้วย antihistamines, เปลี่ยน
opioid, ให้ ondansetron ร่วมด้วย
หรือให้ low-dose naloxone infusion (0.25 mcg/kg/h)
- Opioid
Use Disorder (OUD): ความชุกจริงต่ำกว่าที่คิด (~0–9%)
และไม่ควรประเมินผิดจากการพึ่ง opioids ตามแพทย์สั่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น