วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Acute vaso-occlusive pain in Sickle Cell Disease

การประเมินอาการปวดในผู้ป่วยโรค Sickle Cell Disease (SCD)

1. การประเมินเบื้องต้น

ผู้ป่วย SCD ที่มาด้วยอาการปวดเฉียบพลัน ควรได้รับการประเมินอย่างรวดเร็วเพื่อคัดกรองภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พร้อมกับเริ่มการรักษาอาการปวดทันที ไม่ควรรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนเริ่มให้ analgesia

 

2. ลักษณะของอาการปวดแบบ Vaso-occlusive Pain

  • มักเป็นอาการปวดรุนแรง เกิดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน และเป็นต่อเนื่องตลอดชีวิต
  • ตำแหน่งที่พบบ่อย: หลัง, หน้าอก, ท้อง, กระดูกยาว
  • ในทารกอาจพบ dactylitis (นิ้วมือ/นิ้วเท้าบวมจาก infarction)
  • มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือน
  • Neuropathic pain มักพบมากขึ้นเมื่ออายุมาก และอาจวินิจฉัยต่ำกว่าความเป็นจริง

การประเมินที่ดีที่สุดคือ การซักถามจากผู้ป่วยหรือครอบครัว เกี่ยวกับความรุนแรงของอาการปวด และเปรียบเทียบกับอาการปวดที่เคยมี

 

3. สัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่ามีภาวะแทรกซ้อน

  • อาการปวดไม่เหมือนเดิม (atypical pain)
  • สัญญาณชีพผิดปกติ
  • CBC หรือ reticulocyte count เปลี่ยนแปลงจาก baseline อย่างมาก เช่น:
    • Leukocytosis/Leukopenia อาจเป็น infection หรือ acute chest syndrome
    • Hemoglobin ลดลงมาก อาจเกิดจาก bone marrow suppression, sequestration, หรือ hemolysis
    • Hemoglobin เพิ่มขึ้น อาจเกิดจาก severe dehydration
    • Reticulocyte count ลดลง สงสัย bone marrow suppression
    • Reticulocyte count สูงมาก อาจเกิดจาก hemolysis หรือ sequestration
  • อาการร่วม เช่น jaundice, hematuria, abdominal distention, hypoxia, cough, หรือ fever

 

4. ยาที่อาจทำให้เกิดอาการปวด

  • เช่น iron chelating agent (deferasirox), L-glutamine, หรือ omega-3

 

5. ความสำคัญของการให้ analgesia อย่างทันท่วงที

  • Opioids มักจำเป็น
  • ควรให้ภายใน 30 นาที หลังมาถึงสถานพยาบาล
  • ไม่ควรใช้ผล lab มาชะลอการให้ยา

 

6. ภาวะที่อาการปวดอาจเกิดจาก serious conditions

คือ มีอาการปวดหลายตำแหน่ง หรือ ปวดแบบไม่จำเพาะ อาจเป็นอาการนำของโรคดังต่อไปนี้

6.1 Multiorgan failure

  • อาการ: severe diffuse pain, fever, tachycardia, tachypnea, hypotension
  • lab: มีลักษณะของ bone marrow suppression, hemolysis หรือ rhabdomyolysis เช่น Hb, platelets,LDH, bilirubin, CPK, Cr,
  • ต้องได้รับการดูแลฉุกเฉิน และพิจารณา exchange transfusion

6.2 Rapidly Progressive Acute Chest Syndrome (ACS)

  • มี respiratory failure ภายใน 24 ชม.
  • มักเกิดร่วมกับ multiorgan failure

6.3 Hemolytic Transfusion Reaction (HTR)

  • แบ่งเป็น Acute HTR (ทันที) และ Delayed HTR (ได้ถึง 1 เดือน)
  • AHTR มาด้วย chest/back pain, fever, red urine, red plasma, oozing from catheter; Lab มี DIC (PT, aPTT เพิ่มขึ้น; fibrinogen ลดลง, D-dimer เพิ่มขึ้น) และ hemolysis (Hb ลดลง; LDH, bilirubin เพิ่มขึ้น)
  • DHTR มาด้วย painless jaundice; Lab มี hemolysis
  • อาจเหมือนกับ vaso-occlusive crisis ได้

6.4 Opioid withdrawal

  • อาจมี diffuse pain, tachycardia, rhinorrhea, abdominal cramping
  • มักเกิดในผู้ป่วยที่ได้รับ opioids เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้ taper

 

7. วินิจฉัยแยกโรคจากอาการร่วม

Jaundice

  • อาจบ่งชี้ hemolysis, liver disease, หรือ HTR

Headache / Mental status change

  • อาจเกิดจาก:
    • stroke
    • aneurysm
    • CNS infection
  • ต้องพิจารณา neuroimaging และ blood transfusion ถ้าสงสัย stroke

Chest pain

  • พิจารณา:
    • Acute chest syndrome
    • Pneumonia
    • PE
    • Cardiac ischemia
    • Rib infarction
  • ตรวจ: CXR, D-dimer, ECG

Abdominal pain

  • อาจเกิดจาก:
    • Hepatic/splenic sequestration
    • Cholecystitis, pancreatitis
    • UTI, pyelonephritis
    • Gynecologic causes เช่น ectopic pregnancy, endometriosis
    • Opioid-induced constipation

Extremity pain

  • Differential diagnoses ได้แก่:
    • Bone infarction
    • Avascular necrosis
    • Dactylitis
    • Osteomyelitis
    • DVT

 

การรักษาอาการปวด

บทบาทของทัศนคติของผู้ให้บริการ

1. ทัศนคติเชิงลบของผู้ให้บริการมีผลต่อการประเมินและการรักษา

  • ความเข้าใจผิด เช่น การไม่เชื่อรายงานความปวดของผู้ป่วย (self-report of pain) หรือเชื่อว่าผู้ป่วยต้องการยาเพราะติดยา (drug-seeking behavior) ทำให้เกิด การประเมินความปวดที่ไม่ถูกต้อง และนำไปสู่ การรักษาที่ไม่เพียงพอ
  • ความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ให้บริการสุขภาพ ส่งผลเสียต่อ ความสัมพันธ์ในการดูแลรักษา

2. ภาษาเชิงอคติมีผลต่อการตัดสินใจรักษา

  • การใช้ ภาษาที่มีอคติ (biased language) ในบันทึกทางการแพทย์มีผลทำให้ผู้ให้บริการเลือกการรักษาความปวดที่ ไม่เข้มข้นพอ

3. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มแพทย์และพยาบาล

  • 86% ของแพทย์ในโรงเรียนแพทย์ ไม่เชื่อว่ารายงานความปวดของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด
  • 50% ของแพทย์ฉุกเฉิน และ 23% ของ hematologists เชื่อว่าผู้ป่วย SCD ติด opioids
  • 63% ของพยาบาลเชื่อว่า การเสพติดเกิดขึ้นบ่อย และจำนวนมากลังเลที่จะให้ opioids ขนาดสูง

4. การลดอคติสามารถทำได้ด้วยการศึกษา

  • วิดีโอให้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะของ sickle cell pain และอธิบายว่า provider bias มีผลต่อการดูแลอย่างไร สามารถช่วย ลดทัศนคติเชิงลบ ต่อผู้ป่วย SCD ได้

5. การประเมินความปวดควรอิงตามรายงานของผู้ป่วย

  • ไม่มีการตรวจร่างกายหรือผล lab ที่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าผู้ป่วยมีอาการปวดหรือไม่
  • Self-report of pain เป็นมาตรฐานในการประเมินความปวด
  • ห้ามใช้ placebo เพื่อตรวจสอบว่าผู้ป่วยปวดจริงหรือไม่ เพราะจะทำลายความไว้วางใจและยืดเวลาการรักษา

 

หลักการสำคัญของการจัดการอาการปวดเฉียบพลันในผู้ป่วย SCD

1.       การรักษาที่เร็ว รุนแรง และเพียงพอ เป็นหัวใจของการดูแล SCD อย่างมีประสิทธิภาพ

2.       แนวทางประกอบด้วย:

o   Home therapy: ควรมีแผนการดูแลเฉพาะบุคคลที่ชัดเจน ทั้งการใช้ยาและวิธีการติดต่อเมื่อควบคุมอาการปวดที่บ้านไม่ได้

o   Rapid and thorough assessment: การประเมินอาการปวดและภาวะแทรกซ้อนของ SCD อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมาถึง emergency department (ED) หรือ day hospital

o   Rapid and effective analgesia: ควรให้ยาแก้ปวด (analgesia) อย่างรวดเร็ว และติดตามผลบ่อยครั้ง หากไม่ดีขึ้น ควรนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ continuous opioids ผ่าน patient-controlled analgesia (PCA)

o   Other considerations: ควรดูแลเรื่อง hydration, การป้องกัน venous thromboembolism, การทำงานของไตและตับ รวมถึงผลข้างเคียงจาก opioids

 

การดูแลอาการปวดนอกโรงพยาบาล

Home management

  • 29% ของวันมีอาการปวด
  • 3.5% ของวันต้องการการดูแลจากแพทย์
  • 38% ของวัน ผู้ป่วยดูแลอาการปวดเองที่บ้าน (80% ใช้ opioids)

ควรมี opioids ทั้งแบบ short-acting และ long-acting พร้อมแผนการใช้ยาและเกณฑ์ชัดเจนว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์

ผู้ที่ไม่ได้ใช้ opioids ประจำ:

  • ใช้ non-opioid therapy เช่น acetaminophen หรือ NSAIDs สำหรับอาการปวดเล็กน้อย
  • ใช้ adjuvant therapies เช่น การฝึกหายใจ การผ่อนคลาย และการประคบร้อน (ห้ามใช้น้ำแข็ง)
  • หากปวดมากขึ้น ควรใช้ opioids ที่แรงขึ้นตามระดับความปวด

ผู้ที่มี chronic pain:

  • เริ่มต้นด้วยขนาดยาที่เคยได้ผล และปรับเพิ่มหากไม่พอ
  • ควรมี short-acting opioids สำหรับ breakthrough pain เช่น morphine, oxycodone หรือ hydromorphone

***ควรมีการให้ความรู้เรื่องสัญญาณอันตราย เช่น ไข้ ไอ หรืออาการของ stroke, acute chest syndrome (ACS), splenic sequestration หรือ aplastic crisis พร้อมช่องทางติดต่อแพทย์

 

Day Hospital / Infusion Center

  • ศูนย์ดูแลที่มีประสบการณ์ใน SCD สามารถประเมินและรักษาได้เร็วและดีกว่า ED

 

การใช้ยาแก้ปวดนอก ED

Opioid therapy

  • ใช้ controlled-release (CR) agents เช่น CR-morphine (ออกฤทธิ์ช้ากว่า ใช้เวลาถึง 2–4 ชั่วโมง), CR-oxycodone (ออกฤทธิ์เร็วกว่า (ประมาณ 30 นาที) และนานกว่า (12 ชั่วโมงเทียบกับ 8 ชั่วโมง))
  • ร่วมกับ short-acting opioids สำหรับ pain flare หรือ breakthrough pain
  • หลีกเลี่ยงการใช้ opioids ร่วมกับ acetaminophen ต่อเนื่องเกิน 48–72 ชม. เพราะเสี่ยงต่อ acetaminophen toxicity และอาจบดบังไข้
  • ไม่แนะนำให้ใช้ codeine โดยเฉพาะในเด็ก <12 ปี เพราะเสี่ยงต่อ respiratory depression และอาจไม่มีฤทธิ์ในผู้ที่มี CYP2D6 polymorphism

 

 

การดูแลอาการปวดในโรงพยาบาล

1. การประเมินอาการปวด

  • ผู้ป่วย SCD มักมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่ช่วงอายุ 6 เดือน และอาจมีต่อเนื่องตลอดชีวิต
  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้ยาอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ drug-seeking behavior หรือ substance use disorder
  • การประเมินที่ดีที่สุดคือ “การรายงานของผู้ป่วยหรือครอบครัว” เอง
  • ผลเลือด (เช่น hemoglobin) หรือการไม่มี hemolysis ไม่ควรใช้ตัดสินว่าไม่มีอาการปวด
  • ควรถามว่าปวดครั้งนี้ “เหมือนหรือแตกต่าง” จากอาการปวดที่เคยมีหรือไม่ เพื่อแยกโรคอื่นที่อาจร่วมด้วย

2. ลักษณะของอาการปวด

  • Location: ปวดบริเวณแขน ขา หลัง หน้าอก ท้อง โดยมักมีหลายจุดพร้อมกัน
  • Intensity: ตั้งแต่ปวดเล็กน้อยจนถึงรุนแรงมาก ใช้เครื่องมือวัด เช่น Wong-Baker FACES scale, Visual Analog Scale
  • Neuropathic pain อาจพบมากขึ้นตามอายุ มักแสดงอาการ allodynia, ไวต่ออุณหภูมิ
  • Duration: อาจนานหลายชั่วโมงถึงหลายวัน หากนานเกิน 6–10 วัน (เด็ก/ผู้ใหญ่) ต้องสงสัยโรคอื่น

3. โรคร่วมที่อาจเกิดขึ้น

  • ต้องระวังภาวะรุนแรง เช่น:
    • Acute Chest Syndrome (ACS)
    • Acute stroke
    • Hypoxia
  • ควรเฝ้าระวังด้วย pulse oximetry และสัญญาณของการหายใจลำบาก

 

การรักษาเบื้องต้น

ควรให้ opioids ภายใน 30 นาที

  • ให้การดูแลระดับ ESI 2
  • ใช้ยาเช่น:
    • IV morphine (0.1–0.15 mg/kg, max 10 mg)
    • IV hydromorphone (0.02–0.05 mg/kg, max 1.5 mg)
    • Intranasal fentanyl ในเด็ก (ระวังขนาดและจำนวนครั้ง)
    • Ketamine อาจพิจารณาในรายที่ไม่ตอบสนองต่อ opioids

การประเมินซ้ำ

  • ประเมินทุก 20–30 นาที
  • หากไม่ดีขึ้น ให้เพิ่มขนาดยา 20–50% จากครั้งก่อน
  • หากให้ยาเกิน 3 ครั้งแล้วยังไม่ดีขึ้น พิจารณา admission และให้ continuous opioids หรือ PCA

 

การให้ยาแบบ Patient-Controlled Analgesia - PCA

ข้อดีของ PCA:

  • ควบคุมอาการปวดได้ต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยสามารถกดปุ่มให้ยาเองในปริมาณที่ปลอดภัย
  • ลดการต้องรอพยาบาลให้ยา PRN

ยาที่ใช้:

  • IV morphine หรือ hydromorphone
  • แบ่งเป็น:
    • Basal infusion (ให้ต่อเนื่อง)
    • Demand dose (สำหรับ pain flares หรือ breakthrough pain)

การปรับขนาดยา:

  • หากผู้ป่วยกด demand dose > 3 ครั้ง/ชั่วโมง ติดกัน 2 ชั่วโมง ให้ปรับขนาดยาเพิ่ม
  • ทุกคนควรมีคำสั่งยาสำหรับ breakthrough pain แยกต่างหากด้วย

 

การรักษาที่ไม่แนะนำ

  • ห้ามใช้ placebo หรือ PRN only
  • หลีกเลี่ยง sedatives/anxiolytics ในการลดปวดโดยไม่มีเหตุผล
  • หลีกเลี่ยง NSAIDs โดยเฉพาะ ketorolac ในการ admit ผู้ป่วย เพราะเสี่ยงต่อ acute kidney injury (อาจใช้ระยะสั้นไม่เกิน 12 ชม. เช่นใน ED)
  • หลีกเลี่ยงการให้ oxygen โดยไม่มี desaturation (drop > 4% จาก baseline) เพราะบดบัง desaturation เมื่อเกิดขึ้น
  • หลีกเลี่ยง routine transfusion ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อนเช่น ACS หรือ stroke

 

Hydration, Adjuvant Therapies, and Medication Management

  • ปัจจัยที่ทำให้ปวดรุนแรงขึ้น ได้แก่:
    • การใช้ opioids ไม่เพียงพอ (กลัวผลข้างเคียงหรือการพึ่งยา)
    • การเปลี่ยนแปลงของ opioid metabolism
    • มีส่วนของ neuropathic pain หรือ psychological factors
    • ภาวะ hypoventilation, insomnia, หรือการดื่มน้ำน้อย

Hydration

  • ผู้ป่วยมักมีภาวะ hypovolemia ขณะเกิดอาการปวด
  • ให้ IV normal saline 0.5–1 L เป็น bolus เริ่มต้น แล้วตามด้วยการให้สารน้ำ IV/ORAL ต่อเนื่อง (~2 L/m²/วัน)
  • หลีกเลี่ยง hypernatremia เพราะจะกระตุ้นการ sickling จาก RBC dehydration
  • ควรเฝ้าระวังภาวะ heart failure และ pulmonary edema โดยเฉพาะในผู้ที่มี renal หรือ cardiac dysfunction

Hydroxyurea

  • ควรให้ต่อในช่วงนอนโรงพยาบาล หากไม่มีภาวะ cytopenia
  • หากยังไม่ได้รับ hydroxyurea แนะนำเริ่มใช้เมื่อผู้ป่วยฟื้นตัวใน OPD เพื่อลดอาการในอนาคต

Ketamine

  • ใช้ได้ในผู้ป่วยที่ปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อ opioids
  • ขนาด: intranasal 0.25–1 mg/kg หรือ IV infusion 3–5 mcg/kg/min (0.3 mg/kg/h)
  • ช่วยลด opioid tolerance ผ่านการยับยั้ง NMDA receptor
  • มีฤทธิ์ช่วยลด depression และใช้เฉพาะโดยผู้ที่เชี่ยวชาญ

Adjuvant Therapies

  • Psychosocial support เช่น CBT, yoga, self-hypnosis
  • หลีกเลี่ยง ice packs เพราะกระตุ้น sickling ได้
  • รักษา insomnia และหากจำเป็นใช้ melatonin
  • Antidepressants ใช้เฉพาะในผู้ที่มี chronic pain

 

NSAIDs

  • ASH 2020 แนะนำให้ใช้ NSAIDs ระยะสั้น (5–7 วัน) ร่วมกับ opioids
  • หลีกเลี่ยงในผู้มีความเสี่ยง acute tubular necrosis (ATN) โดยเฉพาะเมื่อมี dehydration
  • Ketorolac ไม่ควรใช้ในผู้ใหญ่ที่นอนโรงพยาบาล เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและยังไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดอาการปวด

 

การรักษาที่ไม่แนะนำ

  • Ice/cold compresses: กระตุ้น sickling
  • Meperidine: เสี่ยงต่อ seizures จาก normeperidine
  • Ketorolac, NSAIDs (ในโรงพยาบาล): เสี่ยง renal toxicity
  • Transfusion: ไม่ควรใช้หากไม่มีภาวะ symptomatic anemia
  • Magnesium และ glucocorticoids: ไม่มีหลักฐานประสิทธิภาพเพียงพอ
  • Oxygen: ใช้เฉพาะในภาวะ hypoxemia
  • Antiplatelet agents: ไม่ลดอัตราการเกิด vaso-occlusive pain

 

Special groups

  • Renal dysfunction: หลีกเลี่ยง morphine, ใช้ hydromorphone ด้วยความระมัดระวัง
  • Hepatic dysfunction: ลดขนาด opioid
  • Pregnancy: หลีกเลี่ยง NSAIDs หลัง 30 สัปดาห์

 

Discharge/Outpatient Care

  • Opioid taper ภายใน 3–5 วันหลังออก รพ.
  • นัด follow-up ภายใน 7 วัน (สูงสุดไม่เกิน 14 วัน)
  • แนะนำให้รับยา opioids จาก outpatient hospital pharmacy ก่อนกลับบ้าน
  • มีการศึกษาระบุว่าผู้ที่ได้รับ opioid กลับบ้านมีอัตรา readmission ต่ำกว่าผู้ที่ได้ NSAIDs เท่านั้น

 

Transition to Pain Prevention

ควรมีแผนการรักษาเพื่อป้องกันอาการปวดในระยะยาว:

  • การใช้ยาเพื่อป้องกัน vaso-occlusion
  • การสนับสนุนด้านจิตสังคม
  • ยาต้านซึมเศร้า (ในกรณีมี chronic pain)

 

Opioid Side Effects

  • Sedation: เฝ้าระวัง respiratory depression, ใช้ pulse oximetry, incentive spirometry, หลีกเลี่ยงยากดประสาทอื่นๆ
  • Gastrointestinal: ท้องผูกและคลื่นไส้เป็นเรื่องปกติ ใช้ stimulant laxatives และ ondansetron
  • Pruritus: รักษาด้วย antihistamines, เปลี่ยน opioid, ให้ ondansetron ร่วมด้วย หรือให้ low-dose naloxone infusion (0.25 mcg/kg/h)
  • Opioid Use Disorder (OUD): ความชุกจริงต่ำกว่าที่คิด (~0–9%) และไม่ควรประเมินผิดจากการพึ่ง opioids ตามแพทย์สั่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น