วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Palliative care / End-of-Life screening and management

 Palliative care screening and management

กลุ่มอาการหรือภาวะที่ควรพิจารณาเริ่มการดูแลแบบประคับประคอง

1. มะเร็ง (Cancer)

  • มะเร็งที่แพร่กระจายหรือไม่สามารถผ่าตัดได้

2.  โรคหัวใจ (Heart Disease)

  • มีอาการหัวใจล้มเหลวขณะพัก (CHF symptoms at rest)
  • ค่าการบีบตัวของหัวใจต่ำกว่า 20% (EF <20%)
  • เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะใหม่ (New dysrhythmia)
  • เคยเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น เป็นลมหมดสติ หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cardiac Arrest, syncope, CVA)
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้งเนื่องจากอาการ

3. โรคปอด (Pulmonary Disease)

  • หายใจลำบากขณะพัก (Dyspnea at rest)
  • มีอาการของภาวะหัวใจขวาล้มเหลว (Signs of right heart failure)
  • ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำแม้ได้รับออกซิเจนเสริม (<88%)
  • ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (>50)

4. ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

  • ไม่สามารถเดินได้
  • กลั้นปัสสาวะไม่ได้
  • พูดได้ไม่เกิน 6 คำที่เข้าใจได้
  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5) หรือ กินได้น้อย
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง

5. โรคตับ (Liver Disease)

  • การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (PT > 5 seconds)
  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
  • มีน้ำในช่องท้องที่รักษาไม่หาย (Refractory Ascites)
  • ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบจากแบคทีเรีย (SBP)
  • ดีซ่าน (Jaundice)
  • ภาวะขาดสารอาหารและกล้ามเนื้อลีบ

6. โรคไต (Renal Disease)

  • ไม่สามารถเข้ารับการฟอกไตได้
  • ค่าการกรองของไตต่ำ (<15 ml/min)
  • ระดับครีเอตินินในเลือดสูง (>6.0)

7. ภาวะถดถอยทั่วไป (Failure to Thrive)

  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
  • น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง

🔍 เกณฑ์ที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าสู่ระยะใกล้เสียชีวิต

ผู้ป่วยที่มีหนึ่งหรือมากกว่าของปัจจัยต่อไปนี้ ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมว่าอาจกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต:

1.       มีคำสั่งไม่ฟื้นคืนชีพ (Do Not Resuscitate - DNR) อยู่แล้ว

2.       เข้ารักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 7 วัน

3.       ต้องนอนติดเตียง

4.       อยู่ในภาวะกึ่งหมดสติ

5.       รับประทานอาหารได้น้อยมาก (ต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดหรือทางสายยาง)

6.       ไม่สามารถหรือมีความยากลำบากในการรับประทานยา

7.       มีการเสื่อมถอยของสมรรถภาพการทำงานโดยไม่มีสาเหตุที่สามารถกลับคืนได้

8.       ได้รับการรักษาโรคอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังคงเสื่อมถอย (เช่น ผู้ป่วย COPD ที่แย่ลงแม้ได้รับการรักษาอย่างเข้มข้น)

9.       อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังเข้ารับการรักษา

10.    มีประวัติการเข้าห้องฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลบ่อยครั้งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

11.    มีการวินิจฉัยหลัก คือ โรคมะเร็งหรือภาวะสมองเสื่อม


⚠️ สัญญาณทางกายภาพที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจใกล้เสียชีวิต

หากพบสัญญาณต่อไปนี้ ควรพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจกำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต:

  • มีเสียงเสมหะในทางเดินหายใจที่ได้ยินชัดเจน
  • อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น (>18-20 ครั้งต่อนาที)
  • มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นขณะพัก (>100 ครั้งต่อนาที)
  • ผิวหนังมีลักษณะเป็นจ้ำหรือสีม่วงที่ปลายมือปลายเท้า (mottling) และมีภาวะเขียวคล้ำ (cyanosis)
  • ระดับความรู้สึกลดลง
  • ชีพจรอ่อนลง

🧭 แนวทางการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต

เมื่อระบุได้ว่าผู้ป่วยกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต ควรดำเนินการดังนี้:

1.       ประเมินภาระอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด

2.       หารือกับผู้ป่วยและ/หรือครอบครัวเกี่ยวกับความรุนแรงของโรค

3.       กำหนดเป้าหมายการดูแลร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว

4.       บันทึกความต้องการล่วงหน้า (advance directives)

การใช้ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง (Comfort Care Order Set) สามารถช่วยในการจัดการอาการและให้การสนับสนุนทั้งผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง (Comfort Care Order Set) สำหรับผู้ป่วยในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต

🏥 การรับผู้ป่วยและการวางแผนการดูแล

  • สถานที่รับผู้ป่วย: … เริ่มต้นชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง
  • การวินิจฉัย: …เช่น มะเร็งปอดระยะลุกลาม/ภาวะปวดรุนแรง
  • สถานะของผู้ป่วย: …ผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
  • ความต้องการการช่วยชีวิต: …ไม่ต้องการการช่วยชีวิต (DNAR)

🍽️ การดูแลด้านโภชนาการและกิจกรรม

  • อาหาร: สนับสนุนการกินตามต้องการ (ไม่ force feeding) อาจเป็นอาหารเหลว (รสชาติดีกว่าและกลืนง่ายกว่าอาหารใส) หรือ เป็นอาหารที่ญาติเตรียมมา
  • การนั่งรับประทานอาหาร: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งรับประทานอาหารและช่วยเหลือในการรับประทานหากจำเป็น
  • กิจกรรม: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้หากต้องการ และใช้เก้าอี้สุขภัณฑ์ข้างเตียง
  • การเยี่ยมเยียน: อนุญาตให้ครอบครัวอยู่ในห้องกับผู้ป่วย

🩺 การตรวจวัดสัญญาณชีพและการรักษาทางหลอดเลือด

  • การตรวจวัดสัญญาณชีพ: จำกัดการวัด vital signs และการใช้ alarm
  • การรักษาทางหลอดเลือด: พิจารณาฉีดยาใต้ผิวหนัง (SQ) เพื่อลดความจำเป็นในการหาหรือคา IV access
  • การให้น้ำเกลือ: หากจำเป็น (ถ้าบวมแสดงว่าไม่ขาดน้ำ) ให้ในระยะเวลาจำกัด เช่น 5%DN/2 1000 mL IV over 6 hours
  • หลีกเลี่ยงการตรวจวินิจฉัยและหัตถการที่ไม่จำเป็น

😤 การจัดการอาการหายใจลำบาก

  • ออกซิเจน: oxygen cannula 2-4 LPM หลีกเลี่ยง face mask (ไม่ต้อง monitor O2 saturation)
  • การบรรเทาอาการ: ใช้พัดลมเป่าที่ใบหน้า เปลี่ยนท่าทางให้นั่งขึ้น หรือใช้ยาพ่นหากจำเป็น
  • การใช้ยา: ใช้ opioid ใน persistent dyspnea

💊 การจัดการอาการและการใช้ยา

  • อาการปวด: ให้ morphine immediate release 5 mg (ขึ้นกับว่าเคยได้อยู่เท่าไหร่) PO q 2 h หรือ 2-4 mg SQ q 2 h (อาจให้ทาง IV แต่หมดฤทธิ์เร็ว) หยุดยา sustained-release
  • อาการคลื่นไส้และเพ้อ: ให้ haloperidol 2 mg PO หรือ 1 mg SQ q 2 h สูงสุด 3 dose หรือจนกว่าอาการจะสงบ จากนั้น q 6-8 h ตามความจำเป็น (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ > 65 ปี)
  • อาการวิตกกังวลและชัก: ให้ lorazepam 1 mg PO/SQ q 6-8 h (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ > 65 ปี) ตามความจำเป็น
  • เสียงหายใจดัง (Death Rattle): หันศีรษะไปด้านข้าง (ทำให้คอแห้ง) หยุดให้ IV หรือ tube feeding; ใช้ scopolamine patch หลังใบหูทุก 3 วัน หรือใช้ atropine eye drops 2-3 หยดในปากทุก 4 ชั่วโมง
  • Dexamethasone 4-8 mg PO/SQ เช้า-เที่ยง ได้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น เรื่องปวด เหนื่อย เบื่ออาหาร ไม่มีแรง ซึมเศร้า

🧼 การดูแลสุขอนามัยและการป้องกัน

  • การดูแลช่องปาก: ให้ครอบครัวช่วยทำความสะอาดช่องปากด้วยไม้พันสำลี
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายสวนปัสสาวะ (อาจใช้ในบางราย เช่น อ้วน หรือ ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย) แต่ใช้ผ้าอ้อมและการทำความสะอาดแทน
  • ตรวจสอบ fecal impaction อาจสวนอุจจาระช่วย
  • พิจารณาการประเมินโดยพยาบาลดูแลผิวหนัง

🧘 การสนับสนุนทางจิตใจและครอบครัว

  • การแจ้งเตือน: แจ้งฝ่ายจิตวิญญาณและสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการรับผู้ป่วย
  • การหลีกเลี่ยงการใช้ข้อจำกัด: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องพันธนาการ ใช้สัญญาณเตือนเตียงแทน
  • การสนับสนุนครอบครัว: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานะของผู้ป่วย และจัดเตรียมเอกสาร "Preparing for Your Loved One’s Death"

 


🤝 การสื่อสารและการสนับสนุนที่สำคัญ

  • ควรมีการสื่อสารอย่างชัดเจนและต่อเนื่องกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับสถานะของโรคและแนวทางการดูแล
  • การสนับสนุนจากทีมสหวิชาชีพ (interdisciplinary team) มีความสำคัญในการจัดการกับภาระอาการและความทุกข์ทรมานในหลายด้าน
  • การวางแผนล่วงหน้าและการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการตัดสินใจสามารถช่วยให้การดูแลในระยะสุดท้ายของชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย

การระบุและดูแลผู้ป่วยที่กำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการและค่านิยมของตนเอง รวมถึงลดความทุกข์ทรมานและเพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาสุดท้าย

 


🔹 การประเมินความต้องการและการสื่อสารเป้าหมายการดูแล (Goals of Care)

  • เริ่มสนทนา กับผู้ป่วย (ถ้ายังมี capacity) และครอบครัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังและมองว่าเป็น “การดูแลที่ดีในระยะสุดท้าย”
  • อธิบายข้อมูลพยากรณ์โรคอย่างชัดเจนและด้วยความเห็นอกเห็นใจ
  • เน้นเรื่องการจัดการอาการและการหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน
  • ให้คำแนะนำเรื่อง DNR และการหยุด life-sustaining treatments อย่างเหมาะสม

🔹 หลีกเลี่ยง CPR ในผู้ป่วย actively dying

  • ไม่แนะนำ CPR เนื่องจากไม่มีประโยชน์และอาจเพิ่มความทุกข์
  • ควรสนทนาเรื่องนี้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาดในช่วงฉุกเฉิน
  • ถ้ามี ICD หรือ pacemaker ควรพิจารณา deactivation

🔹 สถานที่เสียชีวิตที่พึงประสงค์

สถานที่

ประเด็นสำคัญ

ที่บ้าน

เป็นที่ต้องการมากที่สุด มักให้ความพึงพอใจแก่ครอบครัวมากขึ้น

โรงพยาบาล

ให้ความเป็นส่วนตัวในห้องแยก สนับสนุนครอบครัวให้ได้อยู่กับผู้ป่วย

ICU

พิจารณาย้ายออกหากไม่คาดว่าจะเสียชีวิตในทันที การเยี่ยมควรผ่อนปรน


🔹 การเตรียมครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา

อาการที่ควรอธิบาย:

  • การกิน/ดื่มลดลง (แนะนำ mouth care แทน feeding)
  • ลักษณะการหายใจเปลี่ยนไป (Cheyne-Stokes, apnea)
  • เสมหะสะสม (death rattle) – ใช้ glycopyrrolate ช่วยได้
  • อาการทางระบบประสาท (delirium, coma)
  • ความดันโลหิตต่ำ, อัตราชีพจรเปลี่ยน, มือเท้าเย็น, สีผิวม่วง

แนะนำครอบครัว ให้สัมผัส พูดคุย ฟังเพลง เพื่อปลอบโยนผู้ป่วย


🔹 การบริหารยา

▪️ Deprescribing:

  • หยุดยาไม่จำเป็นโดยเฉพาะ preventive therapy
  • ยาที่ควร taper: beta-blocker, benzodiazepine, SSRI

▪️ Route of administration:

Route

ข้อดี

SC

ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ใกล้เคียง IV

Sublingual/Buccal

เหมาะสำหรับการดูแลที่บ้าน

Rectal

สำรองในกรณีอื่นใช้ไม่ได้

Transdermal

ไม่แนะนำเมื่อ circulation แย่

G-tube/IV

ใช้ต่อถ้ามีอยู่แล้ว


🔹 ด้านจริยธรรมและกฎหมาย

  • การหยุดยาปฏิชีวนะ หรือการรักษาใด ๆ ควรขึ้นกับ goals of care
  • มีสิทธิในการ ปฏิเสธการรักษา และเลือก VSED (Voluntary Stopping of Eating and Drinking)
  • การใช้ palliative sedation เหมาะสมใน refractory symptoms ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น