วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Palliative comprehensive approach

🎯 จุดมุ่งหมายของการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)

  • ไม่จำกัดเฉพาะระยะท้ายของชีวิต แต่สามารถให้ร่วมกับการรักษาโรคเฉพาะได้
  • มุ่งลดความทุกข์ทรมานทั้งทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ (Total Pain)
  • ให้การสนับสนุนครอบครัวและผู้ดูแล รวมถึงช่วงไว้ทุกข์
  • เน้นเป้าหมายการดูแลที่สอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการของผู้ป่วย

🧠 Total Pain: ความทุกข์ทรมานแบบองค์รวม

  • ไม่ใช่แค่ “pain score” แต่รวมถึง:
    • ความรู้สึกโดดเดี่ยว
    • ปัญหาครอบครัว-การเงิน
    • ความไม่เข้าใจในโรค
    • ความกลัวและความกังวลเรื่องความตาย

🛠 ประเมินแบบครอบคลุม

  • PEACE Tool: Physical, Emotional, Autonomy, Communication, Economic, Transcendent domains
  • PAIN RULES (pain, anorexia, incontinence, nausea, respiratory symptoms, ulcerations, level of functioning, energy, and sedation)
  • ใช้การให้ผู้ป่วยจัดลำดับ “most troublesome symptom” เพื่อวางแผนดูแลเฉพาะราย

🧑‍⚕️ ประเมินด้านจิตใจและการเผชิญปัญหา

  • ประเมิน depression, anxiety, delirium, demoralization (ไร้ความหวัง ไร้หนทางช่วยเหลือ ไร้จุดหมาย)
  • ประเมิน coping style (adaptive vs. maladaptive)
  • ระวังความทุกข์ใจของ caregiver ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วย

💬 ประเมินความเข้าใจโรคและเป้าหมายการดูแล

  • เชื่อมโยงการวินิจฉัยกับสิ่งที่ผู้ป่วยเข้าใจและต้องการ
  • ใช้แนวทางการพูดคุยเช่น REMAP model

REMAP เป็นแนวทางพูดคุยกับผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อกำหนดเป้าหมายการดูแล (Goals of Care) โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะรุนแรงหรือระยะท้าย:

🧠 "เรื่องอารมณ์มีค่า อย่าวางแผนโดยไม่ถามเขา"

  • R = Reframe "เรื่อง" – เริ่มจากเข้าใจสถานการณ์เดียวกัน คุณเข้าใจโรคของคุณว่าอย่างไรบ้าง?”
  • E = Expect emotion "อารมณ์" – อย่าลืมรับฟังความรู้สึก ผมเข้าใจว่าข่าวนี้อาจทำให้คุณรู้สึกกังวล/เศร้า”- (หยุดเงียบ ฟังอย่างตั้งใจ)
  • M = Map out the future "มี" – มีอะไรที่เขากลัวหรืออยากได้ในอนาคต อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในช่วงเวลานี้?”- “มีอะไรที่คุณอยากหลีกเลี่ยงไหมในอนาคต?”
  • A = Align with values "ค่า" – อะไรคือสิ่งที่มีค่าสำหรับเขา ผมเข้าใจว่าคุณอยากให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด…”- “คุณต้องการหลีกเลี่ยง…”
  • P = Plan treatments that match values "อย่าวางแผนโดยไม่ถามเขา" – แผนต้องมาจากสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ จากสิ่งที่คุณเล่า ผมขอแนะนำว่า…”- “คุณเห็นด้วยไหมถ้าผมเสนอแนวทางที่อาจจะเหมาะกับคุณ?”- “เราจะเดินหน้ากันตามแผนนี้นะครับ ผมจะอยู่ช่วยคุณตลอด”


💡 เคล็ดลับ:

  • เริ่มจากการ ขออนุญาตสนทนา (เช่น "เราคุยเรื่องนี้กันดีไหมครับ?")
  • ใช้ภาษาเรียบง่าย ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป
  • เน้น การฟังอย่างตั้งใจ, ทวนความเข้าใจ, และ แสดงความเข้าใจความรู้สึก
  • ปิดท้ายด้วยการ ย้ำว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพัง ("ผมอยู่ตรงนี้กับคุณนะครับ")

 

  • สำรวจ advance care planning, การแต่งตั้ง surrogate decision-maker
  • ต้องทำซ้ำเมื่อเวลาเปลี่ยนและสถานการณ์เปลี่ยน

✝️ ด้านจิตวิญญาณและความหมายของชีวิต

  • สำรวจคำถามสำคัญ: ความหวัง ศรัทธา ความเชื่อ ศาสนา "คุณอยู่กับโรคนี้อย่างไร?" หรือ "คุณรู้สึกสงบใจไหม?"
  • บ่งชี้ spiritual distress จากคำพูด เช่น “ผมรู้สึกว่าพระเจ้าไม่รักผมแล้ว”
  • ใช้แนวทาง Dignity Therapy สำหรับการ review ชีวิต
    • คุณอยากถูกจดจำอย่างไร
    • อะไรคือสิ่งที่คุณภูมิใจที่สุดในชีวิต
    • คุณรู้สึกพร้อมกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าหรือยัง
    • ยังมีอะไรที่อยากทำให้สำเร็จอีกหรือไม่
    • คุณมีความคิด บทเรียน หรืออะไรที่อยากแบ่งปันหรือถ่ายทอดให้คนอื่นหรือไม่
    • มีคำพูดอะไรที่อยากบอกกับคนที่เรารักหรือไม่

🔄 การประสานและต่อเนื่องของการดูแล

  • ป้องกัน fragmentation ของการดูแล โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนสถานพยาบาล
  • วางแผน discharge อย่างครอบคลุม:
    • อธิบายโรคและพยากรณ์ใหม่
    • แผนจัดการอาการ
    • ช่องทางติดต่อผู้ดูแล

📝 การบันทึกการดูแลแบบประคับประคอง

  • ควรรวมสรุปทั้ง 6 domains โดยเรียงตามลำดับอาการที่รบกวนมากที่สุด
  • ใช้รูปแบบ structured notes ตาม CAPC guidelines

 

 

 

Palliative care / End-of-Life screening and management

 Palliative care screening and management

กลุ่มอาการหรือภาวะที่ควรพิจารณาเริ่มการดูแลแบบประคับประคอง

1. มะเร็ง (Cancer)

  • มะเร็งที่แพร่กระจายหรือไม่สามารถผ่าตัดได้

2.  โรคหัวใจ (Heart Disease)

  • มีอาการหัวใจล้มเหลวขณะพัก (CHF symptoms at rest)
  • ค่าการบีบตัวของหัวใจต่ำกว่า 20% (EF <20%)
  • เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะใหม่ (New dysrhythmia)
  • เคยเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น เป็นลมหมดสติ หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cardiac Arrest, syncope, CVA)
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้งเนื่องจากอาการ

3. โรคปอด (Pulmonary Disease)

  • หายใจลำบากขณะพัก (Dyspnea at rest)
  • มีอาการของภาวะหัวใจขวาล้มเหลว (Signs of right heart failure)
  • ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำแม้ได้รับออกซิเจนเสริม (<88%)
  • ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (>50)

4. ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

  • ไม่สามารถเดินได้
  • กลั้นปัสสาวะไม่ได้
  • พูดได้ไม่เกิน 6 คำที่เข้าใจได้
  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5) หรือ กินได้น้อย
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง

5. โรคตับ (Liver Disease)

  • การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (PT > 5 seconds)
  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
  • มีน้ำในช่องท้องที่รักษาไม่หาย (Refractory Ascites)
  • ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบจากแบคทีเรีย (SBP)
  • ดีซ่าน (Jaundice)
  • ภาวะขาดสารอาหารและกล้ามเนื้อลีบ

6. โรคไต (Renal Disease)

  • ไม่สามารถเข้ารับการฟอกไตได้
  • ค่าการกรองของไตต่ำ (<15 ml/min)
  • ระดับครีเอตินินในเลือดสูง (>6.0)

7. ภาวะถดถอยทั่วไป (Failure to Thrive)

  • ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
  • น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
  • เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง

🔍 เกณฑ์ที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าสู่ระยะใกล้เสียชีวิต

ผู้ป่วยที่มีหนึ่งหรือมากกว่าของปัจจัยต่อไปนี้ ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมว่าอาจกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต:

1.       มีคำสั่งไม่ฟื้นคืนชีพ (Do Not Resuscitate - DNR) อยู่แล้ว

2.       เข้ารักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 7 วัน

3.       ต้องนอนติดเตียง

4.       อยู่ในภาวะกึ่งหมดสติ

5.       รับประทานอาหารได้น้อยมาก (ต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดหรือทางสายยาง)

6.       ไม่สามารถหรือมีความยากลำบากในการรับประทานยา

7.       มีการเสื่อมถอยของสมรรถภาพการทำงานโดยไม่มีสาเหตุที่สามารถกลับคืนได้

8.       ได้รับการรักษาโรคอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังคงเสื่อมถอย (เช่น ผู้ป่วย COPD ที่แย่ลงแม้ได้รับการรักษาอย่างเข้มข้น)

9.       อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังเข้ารับการรักษา

10.    มีประวัติการเข้าห้องฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลบ่อยครั้งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

11.    มีการวินิจฉัยหลัก คือ โรคมะเร็งหรือภาวะสมองเสื่อม


⚠️ สัญญาณทางกายภาพที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจใกล้เสียชีวิต

หากพบสัญญาณต่อไปนี้ ควรพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจกำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต:

  • มีเสียงเสมหะในทางเดินหายใจที่ได้ยินชัดเจน
  • อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น (>18-20 ครั้งต่อนาที)
  • มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นขณะพัก (>100 ครั้งต่อนาที)
  • ผิวหนังมีลักษณะเป็นจ้ำหรือสีม่วงที่ปลายมือปลายเท้า (mottling) และมีภาวะเขียวคล้ำ (cyanosis)
  • ระดับความรู้สึกลดลง
  • ชีพจรอ่อนลง

🧭 แนวทางการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต

เมื่อระบุได้ว่าผู้ป่วยกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต ควรดำเนินการดังนี้:

1.       ประเมินภาระอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด

2.       หารือกับผู้ป่วยและ/หรือครอบครัวเกี่ยวกับความรุนแรงของโรค

3.       กำหนดเป้าหมายการดูแลร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว

4.       บันทึกความต้องการล่วงหน้า (advance directives)

การใช้ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง (Comfort Care Order Set) สามารถช่วยในการจัดการอาการและให้การสนับสนุนทั้งผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง (Comfort Care Order Set) สำหรับผู้ป่วยในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต

🏥 การรับผู้ป่วยและการวางแผนการดูแล

  • สถานที่รับผู้ป่วย: … เริ่มต้นชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง
  • การวินิจฉัย: …เช่น มะเร็งปอดระยะลุกลาม/ภาวะปวดรุนแรง
  • สถานะของผู้ป่วย: …ผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
  • ความต้องการการช่วยชีวิต: …ไม่ต้องการการช่วยชีวิต (DNAR)

🍽️ การดูแลด้านโภชนาการและกิจกรรม

  • อาหาร: สนับสนุนการกินตามต้องการ (ไม่ force feeding) อาจเป็นอาหารเหลว (รสชาติดีกว่าและกลืนง่ายกว่าอาหารใส) หรือ เป็นอาหารที่ญาติเตรียมมา
  • การนั่งรับประทานอาหาร: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งรับประทานอาหารและช่วยเหลือในการรับประทานหากจำเป็น
  • กิจกรรม: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้หากต้องการ และใช้เก้าอี้สุขภัณฑ์ข้างเตียง
  • การเยี่ยมเยียน: อนุญาตให้ครอบครัวอยู่ในห้องกับผู้ป่วย

🩺 การตรวจวัดสัญญาณชีพและการรักษาทางหลอดเลือด

  • การตรวจวัดสัญญาณชีพ: จำกัดการวัด vital signs และการใช้ alarm
  • การรักษาทางหลอดเลือด: พิจารณาฉีดยาใต้ผิวหนัง (SQ) เพื่อลดความจำเป็นในการหาหรือคา IV access
  • การให้น้ำเกลือ: หากจำเป็น (ถ้าบวมแสดงว่าไม่ขาดน้ำ) ให้ในระยะเวลาจำกัด เช่น 5%DN/2 1000 mL IV over 6 hours
  • หลีกเลี่ยงการตรวจวินิจฉัยและหัตถการที่ไม่จำเป็น

😤 การจัดการอาการหายใจลำบาก

  • ออกซิเจน: oxygen cannula 2-4 LPM หลีกเลี่ยง face mask (ไม่ต้อง monitor O2 saturation)
  • การบรรเทาอาการ: ใช้พัดลมเป่าที่ใบหน้า เปลี่ยนท่าทางให้นั่งขึ้น หรือใช้ยาพ่นหากจำเป็น
  • การใช้ยา: ใช้ opioid ใน persistent dyspnea

💊 การจัดการอาการและการใช้ยา

  • อาการปวด: ให้ morphine immediate release 5 mg (ขึ้นกับว่าเคยได้อยู่เท่าไหร่) PO q 2 h หรือ 2-4 mg SQ q 2 h (อาจให้ทาง IV แต่หมดฤทธิ์เร็ว) หยุดยา sustained-release
  • อาการคลื่นไส้และเพ้อ: ให้ haloperidol 2 mg PO หรือ 1 mg SQ q 2 h สูงสุด 3 dose หรือจนกว่าอาการจะสงบ จากนั้น q 6-8 h ตามความจำเป็น (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ > 65 ปี)
  • อาการวิตกกังวลและชัก: ให้ lorazepam 1 mg PO/SQ q 6-8 h (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ > 65 ปี) ตามความจำเป็น
  • เสียงหายใจดัง (Death Rattle): หันศีรษะไปด้านข้าง (ทำให้คอแห้ง) หยุดให้ IV หรือ tube feeding; ใช้ scopolamine patch หลังใบหูทุก 3 วัน หรือใช้ atropine eye drops 2-3 หยดในปากทุก 4 ชั่วโมง
  • Dexamethasone 4-8 mg PO/SQ เช้า-เที่ยง ได้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น เรื่องปวด เหนื่อย เบื่ออาหาร ไม่มีแรง ซึมเศร้า

🧼 การดูแลสุขอนามัยและการป้องกัน

  • การดูแลช่องปาก: ให้ครอบครัวช่วยทำความสะอาดช่องปากด้วยไม้พันสำลี
  • หลีกเลี่ยงการใช้สายสวนปัสสาวะ (อาจใช้ในบางราย เช่น อ้วน หรือ ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย) แต่ใช้ผ้าอ้อมและการทำความสะอาดแทน
  • ตรวจสอบ fecal impaction อาจสวนอุจจาระช่วย
  • พิจารณาการประเมินโดยพยาบาลดูแลผิวหนัง

🧘 การสนับสนุนทางจิตใจและครอบครัว

  • การแจ้งเตือน: แจ้งฝ่ายจิตวิญญาณและสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการรับผู้ป่วย
  • การหลีกเลี่ยงการใช้ข้อจำกัด: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องพันธนาการ ใช้สัญญาณเตือนเตียงแทน
  • การสนับสนุนครอบครัว: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานะของผู้ป่วย และจัดเตรียมเอกสาร "Preparing for Your Loved One’s Death"

 


🤝 การสื่อสารและการสนับสนุนที่สำคัญ

  • ควรมีการสื่อสารอย่างชัดเจนและต่อเนื่องกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับสถานะของโรคและแนวทางการดูแล
  • การสนับสนุนจากทีมสหวิชาชีพ (interdisciplinary team) มีความสำคัญในการจัดการกับภาระอาการและความทุกข์ทรมานในหลายด้าน
  • การวางแผนล่วงหน้าและการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการตัดสินใจสามารถช่วยให้การดูแลในระยะสุดท้ายของชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย

การระบุและดูแลผู้ป่วยที่กำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการและค่านิยมของตนเอง รวมถึงลดความทุกข์ทรมานและเพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาสุดท้าย

 


🔹 การประเมินความต้องการและการสื่อสารเป้าหมายการดูแล (Goals of Care)

  • เริ่มสนทนา กับผู้ป่วย (ถ้ายังมี capacity) และครอบครัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังและมองว่าเป็น “การดูแลที่ดีในระยะสุดท้าย”
  • อธิบายข้อมูลพยากรณ์โรคอย่างชัดเจนและด้วยความเห็นอกเห็นใจ
  • เน้นเรื่องการจัดการอาการและการหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน
  • ให้คำแนะนำเรื่อง DNR และการหยุด life-sustaining treatments อย่างเหมาะสม

🔹 หลีกเลี่ยง CPR ในผู้ป่วย actively dying

  • ไม่แนะนำ CPR เนื่องจากไม่มีประโยชน์และอาจเพิ่มความทุกข์
  • ควรสนทนาเรื่องนี้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาดในช่วงฉุกเฉิน
  • ถ้ามี ICD หรือ pacemaker ควรพิจารณา deactivation

🔹 สถานที่เสียชีวิตที่พึงประสงค์

สถานที่

ประเด็นสำคัญ

ที่บ้าน

เป็นที่ต้องการมากที่สุด มักให้ความพึงพอใจแก่ครอบครัวมากขึ้น

โรงพยาบาล

ให้ความเป็นส่วนตัวในห้องแยก สนับสนุนครอบครัวให้ได้อยู่กับผู้ป่วย

ICU

พิจารณาย้ายออกหากไม่คาดว่าจะเสียชีวิตในทันที การเยี่ยมควรผ่อนปรน


🔹 การเตรียมครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา

อาการที่ควรอธิบาย:

  • การกิน/ดื่มลดลง (แนะนำ mouth care แทน feeding)
  • ลักษณะการหายใจเปลี่ยนไป (Cheyne-Stokes, apnea)
  • เสมหะสะสม (death rattle) – ใช้ glycopyrrolate ช่วยได้
  • อาการทางระบบประสาท (delirium, coma)
  • ความดันโลหิตต่ำ, อัตราชีพจรเปลี่ยน, มือเท้าเย็น, สีผิวม่วง

แนะนำครอบครัว ให้สัมผัส พูดคุย ฟังเพลง เพื่อปลอบโยนผู้ป่วย


🔹 การบริหารยา

▪️ Deprescribing:

  • หยุดยาไม่จำเป็นโดยเฉพาะ preventive therapy
  • ยาที่ควร taper: beta-blocker, benzodiazepine, SSRI

▪️ Route of administration:

Route

ข้อดี

SC

ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ใกล้เคียง IV

Sublingual/Buccal

เหมาะสำหรับการดูแลที่บ้าน

Rectal

สำรองในกรณีอื่นใช้ไม่ได้

Transdermal

ไม่แนะนำเมื่อ circulation แย่

G-tube/IV

ใช้ต่อถ้ามีอยู่แล้ว


🔹 ด้านจริยธรรมและกฎหมาย

  • การหยุดยาปฏิชีวนะ หรือการรักษาใด ๆ ควรขึ้นกับ goals of care
  • มีสิทธิในการ ปฏิเสธการรักษา และเลือก VSED (Voluntary Stopping of Eating and Drinking)
  • การใช้ palliative sedation เหมาะสมใน refractory symptoms ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

Stopping nutrition and hydration at the end of life

 Stopping nutrition and hydration at the end of life


🔹 คำนิยามสำคัญ

  • Artificial nutrition: การให้อาหารทางสาย (NG, PEG, PEG-J) หรือทางหลอดเลือด (IV, central line)
  • Artificial hydration: การให้น้ำหรือสารน้ำทาง IV, subcutaneous (hypodermoclysis), หรือ rectal (proctoclysis)
  • Voluntary stopping of eating and drinking (VSED): การหยุดกินและดื่มโดยสมัครใจเพื่อจบชีวิตด้วยเหตุผลด้านความทุกข์ทรมานในระยะท้าย

🔹 สถานการณ์ทางคลินิก

▪️ ภาวะขาดน้ำในผู้ป่วยระยะสุดท้าย

  • มักเกิดจากลดการรับประทานร่วมกับผลข้างเคียงของยา (opioids ฯลฯ)
  • อาการคลาสสิก เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปากแห้ง มักไม่ตอบสนองต่อ artificial hydration

▪️ ภาวะขาดสารอาหาร

  • เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น มะเร็งที่มี systemic inflammation, dysphagia, GI obstruction
  • ในมะเร็ง terminal cachexia: การให้อาหารไม่ได้ช่วยยืดชีวิตหรือเพิ่ม functional status อย่างมีนัยสำคัญ

🔹 ผลของการหยุดให้อาหารและน้ำ

  • การหยุด intake ทั้งหมดมักนำไปสู่การเสียชีวิตภายใน 1-2 สัปดาห์
  • การให้ artificial nutrition/hydration ไม่ช่วยยืดชีวิตหรือคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยระยะท้าย
  • อาการกระหายน้ำสามารถบรรเทาได้ด้วย mouth care (ice chips, oral swabs, artificial saliva) มากกว่าการให้ IV fluids

🔹 แนวทางเวชปฏิบัติ

1. ไม่แนะนำให้ใช้ artificial nutrition/hydration เป็น routine

  • ในผู้ป่วยที่มี life expectancy <2 สัปดาห์ หรือมี cachexia
  • อาจมีข้อยกเว้น เช่น ALS, vegetative state, GI obstruction ที่ reversible

2. การตัดสินใจควรอยู่บนพื้นฐานของ shared decision-making

  • พิจารณา goals of care, cultural context, และความเชื่อของครอบครัว
  • ชี้แจงว่า artificial nutrition/hydration เป็นการรักษา ไม่ใช่ “การดูแลพื้นฐาน”

3. ประเด็นด้านกฎหมายและจริยธรรม

  • ผู้ป่วยมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือถอนการรักษา รวมถึง artificial nutrition/hydration
  • ไม่มีความแตกต่างทางจริยธรรมหรือกฎหมายระหว่าง “withholding” กับ “withdrawal”
  • ควรมี advance directive หรือ durable power of attorney ถ้าผู้ป่วยไม่มี capacity

🔹 Voluntary Stopping of Eating and Drinking (VSED)

▪️ ข้อบ่งชี้

  • ความทุกข์ที่ไม่สามารถบรรเทาได้
  • ความต้องการควบคุมจุดจบของชีวิต

▪️ การดำเนินการ

  • VSED ใช้เวลาประมาณ 7–21 วัน
  • ควรมีการประเมิน capacity, เจตนา, ความเข้าใจผลลัพธ์
  • ควรเตรียม caregiver, hospice, palliative care team และวางแผนล่วงหน้า

▪️ การดูแลช่วง VSED

  • Early phase: มีสติ ต้องการการสนับสนุน
  • Middle phase: อ่อนเพลีย สับสน นอนมาก
  • Late phase: หมดสติ อวัยวะล้มเหลว
  • การบรรเทาอาการ (dry mouth, agitation, delirium) เป็นหัวใจสำคัญ

🔹 ปัญหาและภาวะแทรกซ้อนจาก artificial hydration

  • เพิ่มความเสี่ยง: pulmonary edema, delirium, pleural effusion, peripheral edema
  • อาจเพิ่มความไม่สบายตัวมากกว่าช่วยเหลือ
  • ปริมาณที่ปลอดภัยมักไม่เกิน 1000 mL/day

🔹 สาระสำคัญสำหรับครอบครัว

  • ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเสียชีวิตตามธรรมชาติ
  • ชี้แจงว่า artificial nutrition/hydration อาจไม่เป็นประโยชน์และอาจทำให้ทุกข์ทรมานมากขึ้น
  • ควรเคารพมุมมองของครอบครัว หากไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของผู้ป่วย

 

End-of-Life Pain Management & Palliative Sedation

 การจัดการความปวดในระยะท้ายของชีวิต (End-of-Life Pain Management)


🔍 ความสำคัญของการรักษาอาการปวด

  • ผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้รับการรักษาความปวด และแพทย์มีหน้าที่ทางจริยธรรมและกฎหมายในการดูแล
  • ความล้มเหลวในการจัดการความปวดมักเกิดจาก:
    • ขาดการฝึกอบรมด้าน palliative care
    • ความกลัวเรื่องจริยธรรม กฎหมาย หรือทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น
  • อาการปวดที่ควบคุมไม่ได้ในระยะท้ายถือเป็น “ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์”
  • ความปวดรุนแรงรบกวนการเตรียมตัวตายอย่างมีความหมาย เช่น การกล่าวลา จัดการเอกสาร

⚖️ ข้อพิจารณาทางกฎหมายในสหรัฐอเมริกา

  • การให้ opioid เพื่อควบคุมอาการปวดนั้นถูกกฎหมายในทุกรัฐ
  • Medical aid in dying ถูกกฎหมายในบางรัฐ (ผู้ป่วยใช้ยาเพื่อจบชีวิตเอง)
  • Euthanasia (แพทย์ให้ยาเพื่อจบชีวิต) ผิดกฎหมายในทุกมลรัฐ
  • หากแพทย์ไม่รักษาความปวดอย่างเหมาะสม อาจถูกฟ้องร้องได้ (เช่น กรณี Kentucky)

🛐 มุมมองทางศาสนา

  • คาทอลิก: อนุญาตให้ใช้ยาแก้ปวดแม้เสี่ยงทำให้ชีวิตสั้นลง หากเจตนาเพื่อบรรเทาทุกข์ ไม่ใช่เพื่อให้ตาย
  • ยิว: อนุญาตให้รักษาความปวด และไม่ต้องยื้อชีวิตเมื่อใกล้ตาย
  • อิสลาม: ยอมรับความปวดเป็นการเชื่อมโยงกับพระเจ้า แต่อนุญาตให้บรรเทาได้เมื่อใกล้ตาย
  • พุทธ: อาจปฏิเสธยาที่ทำให้หมดสติเพื่อรักษาสติสัมปชัญญะ

💊 การใช้ Opioid อย่างปลอดภัย

  • เป้าหมาย: ให้ยาเพื่อบรรเทาความปวด/หายใจลำบาก โดยปรับขนาดอย่างระมัดระวัง
  • หลีกเลี่ยงการเริ่มต้นด้วย continuous infusion ใน opioid-naïve
  • ระวังในผู้มีโรคร่วมทางหัวใจ ปอด ไต ตับ หรือใช้ยา depressant ร่วมกัน
  • ผู้ป่วยจะสร้าง tolerance ต่อ sedation และ respiratory depression เมื่อใช้ต่อเนื่อง

⚖️ หลักการ Double Effect (PDE)

  • การให้ยาระงับอาการแม้มีผลข้างเคียง (เช่น ทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้นเล็กน้อย) ถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ถ้า:
    • เจตนาเพื่อบรรเทาทุกข์ ไม่ใช่เพื่อฆ่า
    • ผลดี (บรรเทาความปวด) มีน้ำหนักมากพอ
    • อาจเกิดผลร้ายได้ (เสียชีวิต) ให้พยายามลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด

🧘‍♂️ การ Sedation เพื่อบรรเทาอาการที่ควบคุมไม่ได้ (Palliative Sedation)

  • ใช้ใน 2–5% ของผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้แม้ใช้ opioids อย่างเหมาะสม
  • ใช้ยา (เช่น benzodiazepine) ปรับขนาดจนผู้ป่วยสลบ เพื่อระงับทุกข์ที่ทนไม่ได้
  • ได้รับการรับรองจาก AMA, AAHPM และ ACP หากเป็นทางเลือกสุดท้าย

📌 ข้อเสนอแนะสำหรับแพทย์

1.       ยืนยันว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้รับการบรรเทาความปวดโดยไม่ละเมิดกฎหมายหรือจริยธรรม

2.       ใช้ opioid อย่างเหมาะสม แม้มีความเสี่ยงน้อยในการกดการหายใจ

3.       อธิบายและเลือกขนาดยาโดยปรึกษากับผู้ป่วยและครอบครัว

4.       ให้ความรู้กับทีมดูแลและญาติเกี่ยวกับการ titrate ยาอย่างปลอดภัย

5.       พิจารณา palliative sedation ในผู้ป่วยส่วนน้อยที่ทุกข์ทรมานรุนแรง

 


Palliative Sedation ในระยะท้ายชีวิต

🔹 1. ข้อบ่งชี้ (Indications)

  • ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่ รักษาไม่หาย (Refractory symptoms) เช่น:
    • Pain
    • Dyspnea
    • Agitated delirium
    • Seizures
  • ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น massive hemorrhage, asphyxiation, terminal dyspnea ที่ทนไม่ได้
  • ควรลอง intermittent/mild sedation ก่อน continuous deep sedation ถ้าไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน

Refractory symptoms หมายถึงอาการที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น หรือมีผลข้างเคียงรุนแรง หรือไม่ทันการณ์


🔹 2. การประเมินผู้ป่วย

  • ตรวจหาสาเหตุที่อาจรักษาได้ (เช่น infection, bowel obstruction)
  • ประเมินเป้าหมายการรักษา ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ
  • ใช้ทีม palliative care ช่วยประเมิน หากมีความซับซ้อน

🔹 3. การสื่อสารและการให้ความยินยอม

  • อธิบายอย่างชัดเจน: วัตถุประสงค์, ความเสี่ยง, ทางเลือกอื่น
  • หากผู้ป่วยไม่มี capacity ใช้ advance directive หรือ proxy
  • การหยุดยา/อาหาร-น้ำ ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกับการ sedation
  • ควรแจ้งครอบครัวให้เข้าใจว่า palliative sedation euthanasia

🔹 4. ยาที่ใช้

Sedatives

  • Midazolam: onset เร็ว, มักใช้มากที่สุด
  • Lorazepam, Levomepromazine, Phenobarbital, Propofol (ใช้เฉพาะกรณี)

เส้นทางการให้ยา: IV, SC, IM, Rectal, PEG, Continuous infusion หรือ PRN bolus

Monitoring

  • หากใกล้ตาย: ไม่ต้องติดตาม vital signs ยกเว้นอาการไม่สบาย
  • หากยังไม่ใกล้ตาย: ติดตาม sedation level และ vital signs
  • หาก overdose ใช้ Flumazenil ได้ในบางกรณี

🔹 5. ประเด็นทางจริยธรรมและกฎหมาย

  • หลัก Double Effect: หากเจตนาเพื่อบรรเทาความทุกข์ ไม่ถือว่าเป็นการเร่งการตาย
  • Palliative sedation เป็นที่ยอมรับทางจริยธรรมและกฎหมายในหลายประเทศ
  • ความเข้าใจผิดว่า sedation = euthanasia ต้องมีการชี้แจง
  • ต้องมีการ documentation ชัดเจน และ discussion กับทีมดูแล

🔹 6. รูปแบบการใช้ Sedation พิเศษ

  • Emergency sedation: เตรียมแผนไว้ล่วงหน้าหากเสี่ยงเหตุรุนแรง
  • Intermittent/respite sedation: ใช้ชั่วคราวเพื่อลด distress
  • Refractory existential หรือ psychological distress: ควรผ่านการประเมินซ้ำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใจก่อน sedation

🔹 7. ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการใช้ sedation ที่:
    • ไม่ได้ตอบอาการของผู้ป่วยโดยตรง
    • เกิดจากความต้องการของครอบครัวโดยไม่ผ่านการยินยอมของผู้ป่วยหรือตัวแทน
    • ใช้ในขนาดเกินความจำเป็น หรือโดยไม่มี refractory symptoms


 

Syphilis

 Syphilis


🧬 EPIDEMIOLOGY

  • ทั่วโลก (2016):
    • พบผู้ป่วย syphilis 19.9 ล้านรายในช่วงอายุ 15–49 ปี
    • ผู้ป่วยใหม่ 6.3 ล้านราย
    • พื้นที่พบมากสุด: Western Pacific (93/100,000), Africa (46.6/100,000), Americas (34.1/100,000)
  • สหรัฐอเมริกา:
    • เคยมีการระบาดช่วงปี 1980s–1990s (สูงสุดปี 1990 = 20.3/100,000)
    • ปี 2021: พบผู้ป่วยทุกรูปแบบ 176,713 ราย, primary & secondary 53,767 ราย (75% เป็นผู้ชาย)
    • กลุ่มเสี่ยงสูง: MSM (ชายรักชาย), ผู้ใช้ยาเสพติด, ผู้ที่ติดเชื้อ HIV
    • อัตราในผู้หญิงเพิ่มขึ้น >700% ตั้งแต่ 2012, ส่งผลให้ congenital syphilis เพิ่มขึ้น (2855 รายในปี 2021)

🔄 TRANSMISSION สัมผัสรอย–เลือดรอด–ข้ามรก”

  • ติดผ่าน sex contact กับรอยโรคเปิด (chancre, mucous patches, condyloma lata)
  • ติดจากแม่สู่ลูกผ่าน placenta
  • การติดจากเลือดบริจาค พบได้น้อยมาก (T. pallidum อยู่รอดไม่ได้ในสภาวะเก็บเลือด)
  • ความเสี่ยงสูงสุดในระยะ primary และบางลักษณะของ secondary

🔬 PATHOPHYSIOLOGY แผลเล็ก–ลุกลาม–แฝงเรื้อรัง”

  • ติดเชื้อผ่านแผลเล็กในผิวหนัง แบคทีเรียเข้าสู่เนื้อเยื่อ lymph node disseminate
  • มีทั้ง innate และ adaptive immune responses
  • Chancre หายได้เองแต่ไม่ป้องกันการแพร่กระจาย
  • การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อ T. pallidum ไม่เพียงพอในการควบคุมการแพร่กระจาย
  • ระยะ late อาจเกิดจาก waning immunity หรือ hypersensitivity reaction

📊 STAGES OF SYPHILIS

ระยะ

รายละเอียด

Primary

Chancre บริเวณติดเชื้อ, ไม่เจ็บ, หายได้เองภายใน 3–6 สัปดาห์

Secondary

Rash, adenopathy, mucous patches, condyloma lata, alopecia, hepatitis, renal involvement, neurosyphilis, ocular/otic syphilis

Latent

ไม่มีอาการ, จำแนกเป็น Early (<1 ปี) กับ Late (>1 ปี), มีผลต่อการรักษา

Tertiary (Late)

Cardiovascular (aortitis), Gummatous (granuloma), Neurosyphilis (paresis, tabes dorsalis)


🧪 CLINICAL MANIFESTATIONS แผลไม่เจ็บ–ผื่นทั่ว–เงียบหาย–อวัยวะพัง”

1. Primary syphilis

  • Chancre 1–2 ซม., ฐานไม่เป็นหนอง, ไม่เจ็บ
  • มักมี regional lymphadenopathy
  • อาจมี multiple lesions ในผู้ติด HIV

2. Secondary syphilis “Palm-Node-Patch-Hair”

  • Rash (รวมถึงฝ่ามือ/ฝ่าเท้า) scaly papule/plaque, adenopathy, mucous patches, condyloma lata
  • Constitutional symptoms: ไข้, ปวดหัว, น้ำหนักลด
  • อาจมี hepatitis (alkaline phosphatase ), nephrotic syndrome, osteitis, alopecia
  • ใน HIV อาจรุนแรง lues maligna
  • “Head–Eye–Ear” ต้องรักษาเหมือน neurosyphilis ทันที!
    • Headache + meningitis = CNS involvement
    • Eye = uveitis, vision loss
    • Ear = tinnitus, hearing loss, vertigo

3. Latent syphilis

  • ไม่มีอาการ, ตรวจเจอจาก serology
  • Early latent อาจยังแพร่เชื้อได้
  • Late latent ไม่แพร่เชื้อ

4. Late (Tertiary) syphilis

  • Aortitis, coronary ostial stenosis
  • Gummas ที่ผิวหนัง/อวัยวะภายใน
  • Neurosyphilis: paresis, tabes dorsalis

👶 Congenital Syphilis “ติดแม่–ข้ามรก–ยังอันตรายถึง 4 ปี”

  • พบมากขึ้นตามอัตรา syphilis ในผู้หญิง
  • เสี่ยงต่อ stillbirth และ neonatal death
  • สามารถถ่ายทอดได้ถึง 4 ปีหลังแม่ติดเชื้อ

 


🧬 วิธีตรวจวินิจฉัย (Diagnostic Tests)

1. Serologic Testing (หลักการทั่วไป)

ประกอบด้วย 2 กลุ่ม:

  • Nontreponemal (RPR, VDRL, TRUST): บอก activity ของโรค, ใช้ติดตามการรักษา
  • Treponemal (TP-PA, FTA-ABS, EIA, CIA): ยืนยันการติดเชื้อ, มัก positive ตลอดชีวิต

ไม่ควรใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องทำทั้งสองเพื่อยืนยันผล


2. การวางแผนการตรวจ (Testing Algorithm)

🔹 Traditional Approach (Nontreponemal ก่อน)

1.       ตรวจ RPR หรือ VDRL

2.       ถ้าบวก ทำ treponemal test เพื่อยืนยัน

3.       ถ้าลบ มักพอแล้ว ยกเว้นสงสัยระยะแรก นัดมาตรวจซ้ำ 2–4 สัปดาห์

🔹 Reverse Approach (Treponemal ก่อน)

1.       ตรวจ TP-EIA/CIA

2.       ถ้าบวก ทำ RPR หรือ VDRL

3.       ถ้าผลขัดแย้ง (Treponemal + / Nontreponemal -)

o   ทำ treponemal ตัวที่ 2

o   ถ้าบวก รักษาแบบ latent

o   ถ้าลบ ถือว่า false positive


3. การวินิจฉัย Neurosyphilis

  • ทำ lumbar puncture ตรวจ CSF-VDRL (specific สูงแต่ sensitivity ต่ำ)
  • หากสงสัยแต่ CSF-VDRL ลบ ทำ CSF FTA-ABS หรือ CSF TP-PA เพิ่ม

🧠 การแปลผล (Interpretation)

Treponemal

Nontreponemal

การแปลผล

+

+

Active or treated syphilis (ดู clinical/stage ประกอบ)

+

Early, Late latent หรือเคยรักษาแล้ว (ทำ treponemal ตัวที่ 2 เพิ่ม)

+

False positive (ตรวจ treponemal เพื่อยืนยัน)

ไม่ติดเชื้อ หรือยังไม่สร้าง antibody (ตรวจซ้ำถ้าสงสัยมาก)


 

การรักษา


🔍 หลักการทั่วไป

  • ใช้ penicillin G benzathine IM เป็นยาหลักทุกระยะของโรค (ยกเว้น neuro/ocular/otic syphilis ใช้ IV)
  • ก่อนเริ่มยา ควรตรวจ nontreponemal titer เพื่อเป็น baseline สำหรับติดตามการตอบสนอง
  • ควรตรวจหา STIs อื่นร่วมด้วย ทุกครั้ง

💉 ยาหลักและขนาดยา

ระยะโรค

ยาและขนาด

หมายเหตุ

Primary/Secondary/Early latent

Penicillin G benzathine 2.4 MU IM ครั้งเดียว

รักษาได้ผลดีใน 90–100%

Late latent/Tertiary

Penicillin G benzathine 2.4 MU IM สัปดาห์ละครั้ง × 3 สัปดาห์

ถ้าขาดนัด >14 วัน เริ่มคอร์สใหม่

Neurosyphilis/Ocular/Otic

Penicillin G IV 3–4 MU IV q4h หรือ 18–24 MU/d ต่อเนื่อง 10–14 วัน

เพิ่ม IM benzathine 2.4 MU IM 1 dose หลังจบคอร์สได้ในบางกรณี

ห้ามใช้ Bicillin C-R (ยาออกฤทธิ์สั้นกว่าและไม่ได้ผลสำหรับ syphilis)


❗️การแพ้ Penicillin

ต้อง desensitize ถ้า:

  • เป็นหญิงตั้งครรภ์
  • มี ocular/neuro/cardiovascular syphilis
  • เคยรักษาแล้วล้มเหลว

🚫 ห้ามใช้ Azithromycin (แม้จะเคยใช้) พบเชื้อดื้อมากถึง 99% ใน North America


🔄 ยาทดแทน (สำหรับผู้ไม่ตั้งครรภ์)

ยา

ขนาดและระยะเวลา

หมายเหตุ

Doxycycline

100 mg bid × 14 d (early), × 28 d (late)

first-line ทดแทน

Ceftriaxone

1–2 g IV/IM × 10–14 d

ใช้ได้ทั้ง early/late/neuro

Amoxicillin + Probenecid

3 g + 500 mg bid × 14 d

ใช้ในประเทศที่ไม่มี penicillin G

Tetracycline

500 mg qid × 14–28 d

adherence ต่ำกว่า doxycycline

Minocycline

28 วัน

ข้อมูลน้อย


🧠 การติดตามหลังการรักษา

  • ตรวจ RPR/VDRL titer:
    • Early syphilis: ที่ 6 และ 12 เดือน
    • Late syphilis: ที่ 6, 12 และ 24 เดือน
  • Response ที่ดี = titer ลด 4 เท่า ภายในเวลาที่เหมาะสม
  • ไม่ต้อง retreat หาก titer คงที่และไม่มีอาการ serofast

🚨 กรณี response ไม่ดี (Inadequate response)

  • พิจารณา reinfection, slow response, หรือ neurosyphilis
  • พิจารณา LP ถ้ามีอาการประสาทหรือ titer เพิ่ม 4 เท่าหลังลดแล้ว
  • พิจารณา retreat ด้วย benzathine penicillin G × 3 ถ้าไม่สามารถ LP ได้

📍 Post-exposure treatment

  • รักษาทันทีถ้ามี sex กับผู้ป่วย syphilis ระยะ early ภายใน 90 วัน
  • ให้ยาแบบเดียวกับ early syphilis
  • หากไม่แน่ใจการสัมผัส treat เลยดีกว่ารอ

⚠️ Jarisch-Herxheimer Reaction (JHR)

  • พบใน 10–35% หลังให้ penicillin
  • ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย เกิดใน 24 ชม.แรก
  • หายเองใน 24 ชม. ให้ antipyretic ถ้าจำเป็น