Palliative care screening and management
กลุ่มอาการหรือภาวะที่ควรพิจารณาเริ่มการดูแลแบบประคับประคอง
1. มะเร็ง (Cancer)
- มะเร็งที่แพร่กระจายหรือไม่สามารถผ่าตัดได้
2. โรคหัวใจ
(Heart Disease)
- มีอาการหัวใจล้มเหลวขณะพัก (CHF symptoms at rest)
- ค่าการบีบตัวของหัวใจต่ำกว่า 20% (EF <20%)
- เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะใหม่ (New dysrhythmia)
- เคยเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น เป็นลมหมดสติ หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cardiac
Arrest, syncope, CVA)
- เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้งเนื่องจากอาการ
3. โรคปอด (Pulmonary Disease)
- หายใจลำบากขณะพัก (Dyspnea at rest)
- มีอาการของภาวะหัวใจขวาล้มเหลว (Signs of right heart
failure)
- ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำแม้ได้รับออกซิเจนเสริม (<88%)
- ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (>50)
4. ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
- ไม่สามารถเดินได้
- กลั้นปัสสาวะไม่ได้
- พูดได้ไม่เกิน 6 คำที่เข้าใจได้
- ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5) หรือ กินได้น้อย
- เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง
5. โรคตับ (Liver Disease)
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (PT > 5 seconds)
- ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
- มีน้ำในช่องท้องที่รักษาไม่หาย (Refractory Ascites)
- ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบจากแบคทีเรีย (SBP)
- ดีซ่าน (Jaundice)
- ภาวะขาดสารอาหารและกล้ามเนื้อลีบ
6. โรคไต (Renal Disease)
- ไม่สามารถเข้ารับการฟอกไตได้
- ค่าการกรองของไตต่ำ (<15 ml/min)
- ระดับครีเอตินินในเลือดสูง (>6.0)
7. ภาวะถดถอยทั่วไป (Failure to Thrive)
- ระดับอัลบูมินต่ำ (<2.5)
- น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
- เข้าห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง
🔍 เกณฑ์ที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าสู่ระยะใกล้เสียชีวิต
ผู้ป่วยที่มีหนึ่งหรือมากกว่าของปัจจัยต่อไปนี้
ควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมว่าอาจกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต:
1.
มีคำสั่งไม่ฟื้นคืนชีพ (Do
Not Resuscitate - DNR) อยู่แล้ว
2.
เข้ารักษาในโรงพยาบาลนานกว่า 7
วัน
3.
ต้องนอนติดเตียง
4.
อยู่ในภาวะกึ่งหมดสติ
5.
รับประทานอาหารได้น้อยมาก
(ต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือดหรือทางสายยาง)
6.
ไม่สามารถหรือมีความยากลำบากในการรับประทานยา
7.
มีการเสื่อมถอยของสมรรถภาพการทำงานโดยไม่มีสาเหตุที่สามารถกลับคืนได้
8.
ได้รับการรักษาโรคอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังคงเสื่อมถอย
(เช่น ผู้ป่วย COPD ที่แย่ลงแม้ได้รับการรักษาอย่างเข้มข้น)
9.
อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังเข้ารับการรักษา
10.
มีประวัติการเข้าห้องฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลบ่อยครั้งในช่วง
6 เดือนที่ผ่านมา
11.
มีการวินิจฉัยหลัก คือ โรคมะเร็งหรือภาวะสมองเสื่อม
⚠️ สัญญาณทางกายภาพที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจใกล้เสียชีวิต
หากพบสัญญาณต่อไปนี้ ควรพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจกำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต:
- มีเสียงเสมหะในทางเดินหายใจที่ได้ยินชัดเจน
- อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น (>18-20 ครั้งต่อนาที)
- มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นขณะพัก (>100 ครั้งต่อนาที)
- ผิวหนังมีลักษณะเป็นจ้ำหรือสีม่วงที่ปลายมือปลายเท้า (mottling)
และมีภาวะเขียวคล้ำ (cyanosis)
- ระดับความรู้สึกลดลง
- ชีพจรอ่อนลง
🧭 แนวทางการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต
เมื่อระบุได้ว่าผู้ป่วยกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต
ควรดำเนินการดังนี้:
1.
ประเมินภาระอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด
2.
หารือกับผู้ป่วยและ/หรือครอบครัวเกี่ยวกับความรุนแรงของโรค
3.
กำหนดเป้าหมายการดูแลร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว
4.
บันทึกความต้องการล่วงหน้า (advance
directives)
การใช้ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง (Comfort
Care Order Set) สามารถช่วยในการจัดการอาการและให้การสนับสนุนทั้งผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง
(Comfort Care Order Set) สำหรับผู้ป่วยในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต
🏥
การรับผู้ป่วยและการวางแผนการดูแล
- สถานที่รับผู้ป่วย: … เริ่มต้นชุดคำสั่งการดูแลแบบประคับประคอง
- การวินิจฉัย: …เช่น มะเร็งปอดระยะลุกลาม/ภาวะปวดรุนแรง
- สถานะของผู้ป่วย: …ผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
- ความต้องการการช่วยชีวิต:
…ไม่ต้องการการช่วยชีวิต (DNAR)
🍽️
การดูแลด้านโภชนาการและกิจกรรม
- อาหาร: สนับสนุนการกินตามต้องการ
(ไม่ force feeding) อาจเป็นอาหารเหลว (รสชาติดีกว่าและกลืนง่ายกว่าอาหารใส) หรือ
เป็นอาหารที่ญาติเตรียมมา
- การนั่งรับประทานอาหาร: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งรับประทานอาหารและช่วยเหลือในการรับประทานหากจำเป็น
- กิจกรรม: อนุญาตให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้หากต้องการ
และใช้เก้าอี้สุขภัณฑ์ข้างเตียง
- การเยี่ยมเยียน: อนุญาตให้ครอบครัวอยู่ในห้องกับผู้ป่วย
🩺
การตรวจวัดสัญญาณชีพและการรักษาทางหลอดเลือด
- การตรวจวัดสัญญาณชีพ: จำกัดการวัด vital signs และการใช้ alarm
- การรักษาทางหลอดเลือด: พิจารณาฉีดยาใต้ผิวหนัง (SQ) เพื่อลดความจำเป็นในการหาหรือคา
IV access
- การให้น้ำเกลือ: หากจำเป็น (ถ้าบวมแสดงว่าไม่ขาดน้ำ) ให้ในระยะเวลาจำกัด เช่น 5%DN/2 1000 mL IV over 6 hours
- หลีกเลี่ยงการตรวจวินิจฉัยและหัตถการที่ไม่จำเป็น
😤
การจัดการอาการหายใจลำบาก
- ออกซิเจน: oxygen
cannula 2-4 LPM หลีกเลี่ยง face mask (ไม่ต้อง monitor O2 saturation)
- การบรรเทาอาการ: ใช้พัดลมเป่าที่ใบหน้า เปลี่ยนท่าทางให้นั่งขึ้น หรือใช้ยาพ่นหากจำเป็น
- การใช้ยา: ใช้ opioid ใน persistent dyspnea
💊
การจัดการอาการและการใช้ยา
- อาการปวด: ให้ morphine immediate release 5 mg (ขึ้นกับว่าเคยได้อยู่เท่าไหร่)
PO q 2 h หรือ 2-4 mg SQ q 2 h
(อาจให้ทาง IV แต่หมดฤทธิ์เร็ว) หยุดยา sustained-release
- อาการคลื่นไส้และเพ้อ: ให้ haloperidol 2 mg PO หรือ 1 mg SQ
q 2 h สูงสุด 3 dose หรือจนกว่าอาการจะสงบ
จากนั้น q 6-8 h ตามความจำเป็น (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ > 65 ปี)
- อาการวิตกกังวลและชัก: ให้ lorazepam 1 mg PO/SQ q 6-8 h (ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งในคนอายุ
> 65 ปี) ตามความจำเป็น
- เสียงหายใจดัง (Death
Rattle): หันศีรษะไปด้านข้าง (ทำให้คอแห้ง) หยุดให้ IV หรือ tube feeding; ใช้ scopolamine patch หลังใบหูทุก 3 วัน หรือใช้ atropine eye drops 2-3 หยดในปากทุก
4 ชั่วโมง
- Dexamethasone 4-8 mg PO/SQ เช้า-เที่ยง ได้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น เรื่องปวด เหนื่อย เบื่ออาหาร
ไม่มีแรง ซึมเศร้า
🧼
การดูแลสุขอนามัยและการป้องกัน
- การดูแลช่องปาก: ให้ครอบครัวช่วยทำความสะอาดช่องปากด้วยไม้พันสำลี
- หลีกเลี่ยงการใช้สายสวนปัสสาวะ
(อาจใช้ในบางราย เช่น อ้วน หรือ ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย) แต่ใช้ผ้าอ้อมและการทำความสะอาดแทน
- ตรวจสอบ fecal impaction อาจสวนอุจจาระช่วย
- พิจารณาการประเมินโดยพยาบาลดูแลผิวหนัง
🧘
การสนับสนุนทางจิตใจและครอบครัว
- การแจ้งเตือน: แจ้งฝ่ายจิตวิญญาณและสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับการรับผู้ป่วย
- การหลีกเลี่ยงการใช้ข้อจำกัด:
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องพันธนาการ ใช้สัญญาณเตือนเตียงแทน
- การสนับสนุนครอบครัว: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานะของผู้ป่วย และจัดเตรียมเอกสาร "Preparing
for Your Loved One’s Death"
|
🤝 การสื่อสารและการสนับสนุนที่สำคัญ
- ควรมีการสื่อสารอย่างชัดเจนและต่อเนื่องกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับสถานะของโรคและแนวทางการดูแล
- การสนับสนุนจากทีมสหวิชาชีพ (interdisciplinary team) มีความสำคัญในการจัดการกับภาระอาการและความทุกข์ทรมานในหลายด้าน
- การวางแผนล่วงหน้าและการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการตัดสินใจสามารถช่วยให้การดูแลในระยะสุดท้ายของชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย
การระบุและดูแลผู้ป่วยที่กำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิตอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับความต้องการและค่านิยมของตนเอง
รวมถึงลดความทุกข์ทรมานและเพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาสุดท้าย
🔹 การประเมินความต้องการและการสื่อสารเป้าหมายการดูแล
(Goals of Care)
- เริ่มสนทนา กับผู้ป่วย (ถ้ายังมี capacity)
และครอบครัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังและมองว่าเป็น
“การดูแลที่ดีในระยะสุดท้าย”
- อธิบายข้อมูลพยากรณ์โรคอย่างชัดเจนและด้วยความเห็นอกเห็นใจ
- เน้นเรื่องการจัดการอาการและการหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน
- ให้คำแนะนำเรื่อง DNR และการหยุด life-sustaining
treatments อย่างเหมาะสม
🔹 หลีกเลี่ยง
CPR ในผู้ป่วย actively dying
- ไม่แนะนำ CPR เนื่องจากไม่มีประโยชน์และอาจเพิ่มความทุกข์
- ควรสนทนาเรื่องนี้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาดในช่วงฉุกเฉิน
- ถ้ามี ICD หรือ pacemaker ควรพิจารณา deactivation
🔹 สถานที่เสียชีวิตที่พึงประสงค์
สถานที่
|
ประเด็นสำคัญ
|
ที่บ้าน
|
เป็นที่ต้องการมากที่สุด
มักให้ความพึงพอใจแก่ครอบครัวมากขึ้น
|
โรงพยาบาล
|
ให้ความเป็นส่วนตัวในห้องแยก
สนับสนุนครอบครัวให้ได้อยู่กับผู้ป่วย
|
ICU
|
พิจารณาย้ายออกหากไม่คาดว่าจะเสียชีวิตในทันที
การเยี่ยมควรผ่อนปรน
|
🔹 การเตรียมครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
อาการที่ควรอธิบาย:
- การกิน/ดื่มลดลง (แนะนำ mouth care แทน feeding)
- ลักษณะการหายใจเปลี่ยนไป (Cheyne-Stokes, apnea)
- เสมหะสะสม (death rattle) – ใช้ glycopyrrolate
ช่วยได้
- อาการทางระบบประสาท (delirium, coma)
- ความดันโลหิตต่ำ, อัตราชีพจรเปลี่ยน, มือเท้าเย็น, สีผิวม่วง
แนะนำครอบครัว ให้สัมผัส
พูดคุย ฟังเพลง เพื่อปลอบโยนผู้ป่วย
🔹 การบริหารยา
▪️ Deprescribing:
- หยุดยาไม่จำเป็นโดยเฉพาะ preventive therapy
- ยาที่ควร taper: beta-blocker, benzodiazepine, SSRI
▪️ Route of administration:
Route
|
ข้อดี
|
SC
|
ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ใกล้เคียง IV
|
Sublingual/Buccal
|
เหมาะสำหรับการดูแลที่บ้าน
|
Rectal
|
สำรองในกรณีอื่นใช้ไม่ได้
|
Transdermal
|
ไม่แนะนำเมื่อ circulation แย่
|
G-tube/IV
|
ใช้ต่อถ้ามีอยู่แล้ว
|
🔹 ด้านจริยธรรมและกฎหมาย
- การหยุดยาปฏิชีวนะ หรือการรักษาใด ๆ
ควรขึ้นกับ goals of care
- มีสิทธิในการ ปฏิเสธการรักษา และเลือก VSED (Voluntary
Stopping of Eating and Drinking)
- การใช้ palliative sedation เหมาะสมใน refractory
symptoms ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น