Sepsis
การตอบสนองตามปกติต่อการติดเชื้อ
เริ่มต้นจาก innate immune cells เช่น macrophages ที่สามารถตรวจจับและจับกับส่วนประกอบของเชื้อโรคได้
โดยผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่:
1. Recognition of PAMPs (Pathogen-associated molecular
patterns)
เชื้อโรคปล่อยสารต่าง ๆ เช่น endotoxins,
exotoxins, DNA ซึ่งเรียกว่า PAMPs โดย pattern recognition receptors (PRRs) เช่น
TLRs (Toll-like receptors), NLRs (NOD-like receptors), RLRs, CLRs,
และ DNA sensors บนผิวของเซลล์ภูมิคุ้มกันจะจับกับ
PAMPs เหล่านี้ เช่น:
- TLR-2
จับกับ peptidoglycan จากแบคทีเรียแกรมบวก
- TLR-4
จับกับ lipopolysaccharide (LPS) ของแบคทีเรียแกรมลบ
นอกจากนี้ยังมี non-PRRs เช่น RAGE, TREM, GPCRs ที่สามารถตรวจจับ PAMPs ได้เช่นกัน
2. Recognition of DAMPs (Danger-associated molecular
patterns)
เซลล์ที่บาดเจ็บจะปล่อย DAMPs ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนในนิวเคลียส ไซโตพลาสซึม หรือไมโตคอนเดรีย เช่น HMGB1,
S100, heat shock proteins, mitochondrial DNA, ATP
3. TREM-1 และ MDL-1 receptors
เป็นตัวรับบนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตอบสนองต่อ microbial
components โดยช่วยกระตุ้นการอักเสบ
4. Microparticles และ NETs
- Microparticles
จากเซลล์หลอดเลือดช่วยกระตุ้นการอักเสบ
- Neutrophil
extracellular traps (NETs) คือโครงสร้างที่ปล่อย DNA
และสารฆ่าเชื้อออกมา
ช่วยดักจับเชื้อแต่สามารถกระตุ้นการอักเสบและเกิดภาวะ DIC
5. การกระตุ้น cascades ภายในเซลล์
เมื่อ TLRs ถูกกระตุ้น
จะส่งสัญญาณภายในเซลล์ผ่าน NF-κB
ทำให้หลั่ง cytokines เช่น TNF-α, IL-1, chemokines,
และ nitric oxide
6. Activation of PMNs (Polymorphonuclear leukocytes)
เซลล์ PMNs จะเคลื่อนไปยังตำแหน่งอักเสบโดยผ่านกระบวนการ
rolling, adhesion, diapedesis, chemotaxis และปล่อยสารที่ทำให้เกิด
vasodilation, erythema, edema
7. Balance ของ proinflammatory และ anti-inflammatory cytokines
- Proinflammatory
cytokines เช่น TNF-α, IL-1, IL-6, IL-8 ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
- Anti-inflammatory
cytokines เช่น IL-10, IL-6 มีบทบาททั้งกดและส่งเสริมการอักเสบ
- ความสมดุลของสองกลุ่มนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมการอักเสบให้ไม่รุนแรงเกินไป
การเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะ Sepsis
(Transition to Sepsis)
1. นิยามและกลไก
Sepsis คือการตอบสนองต่อการติดเชื้อที่ลุกลามออกจากจุดเริ่มต้นของการติดเชื้อ
สู่การอักเสบทั่วร่างกาย โดยเกิดการหลั่ง proinflammatory mediators
อย่างรุนแรง จนนำไปสู่ organ dysfunction ซึ่งคล้ายคลึงกับ SIRS ที่เกิดจาก non-infectious
insults เช่น trauma, pancreatitis
2. Malignant intravascular inflammation
- Malignant
เพราะไม่สามารถควบคุมได้
- Intravascular
เพราะ mediators กระจายไปทั่วร่างกาย
- Inflammatory
เพราะเกินกว่าการตอบสนองตามปกติ
กลไกหลักที่นำไปสู่ Sepsis
A. Microbial toxins และ PAMPs
- เช่น endotoxin, peptidoglycan, exotoxins ซึ่งตรวจพบในกระแสเลือดของผู้ป่วย sepsis
- LPS กระตุ้นการสร้าง TNF-α ผ่าน CD14
complex → กระตุ้นการอักเสบ, coagulation, vasodilation
B. Excess cytokines
- ปริมาณมากของ TNF-α,
IL-1 ทำให้เกิดไข้ ความดันต่ำ และ multi-organ
dysfunction
C. Complement activation
- การกระตุ้น complement cascade โดยเฉพาะ
C5a และการยับยั้ง C1 ส่งผลต่ออัตราการรอดชีวิตใน animal models
D. Genetic susceptibility
- SNPs
บางตำแหน่งในยีนของ cytokines, receptors,
complement regulators เพิ่มความเสี่ยงต่อ sepsis และผลลัพธ์ที่เลวร้าย
Systemic effects of Sepsis
1. Tissue ischemia
- เกิดจาก microcirculatory dysfunction และ
endothelial injury →
oxygen delivery ลดลง
- Red
blood cells deformability ลดลง → tissue
hypoxia
2. Mitochondrial dysfunction (Cytopathic injury)
- การทำงานของ electron transport chain ผิดปกติ
→ ลด ATP production →
cytotoxicity
- พบ mitochondrial swelling และ ROS
production เพิ่มขึ้น
3. Apoptosis และ Pyroptosis
- Apoptosis
ของ lymphocytes, dendritic cells ทำให้ immunosuppression
- Pyroptosis
เกิดจาก NLRP3 inflammasome → caspase-1 activation
4. Autophagy
- Autophagy
ช่วยรักษา homeostasis ของ cytokine
และป้องกัน organ failure
Coagulation และ Endothelial
dysfunction
- เกิด DIC จากการกระตุ้น coagulation
cascade และลด fibrinolysis
- NETs
ช่วยกระตุ้น platelet aggregation และ microthrombi
- PD-1/PD-L1
pathway มีบทบาทในการกดภูมิคุ้มกันหลังจากการอักเสบเฉียบพลัน
ผลต่ออวัยวะต่าง ๆ (Organ-specific
effects)
1. Circulation
- Vasodilation
และ vascular permeability สูง → hypotension
- NO
และ vasopressin deficiency เกี่ยวข้องกับ
septic shock
- Myocardial
depression พบได้แม้มี cardiac output สูง
2. Lung
- Pulmonary
edema จาก microvascular leak และ NETs
- ส่งผลให้เกิด ARDS (acute respiratory distress syndrome)
3. Gastrointestinal
- Increased
permeability →
bacterial translocation
- Gut
microbiome dysbiosis ทำให้ outcome แย่ลง
4. Liver
- Kupffer
cells สูญเสียการทำลายเชื้อจาก portal circulation → endotoxemia
5. Kidney
- Septic
AKI เกิดได้แม้ renal perfusion ปกติ
- เกี่ยวข้องกับ tubular cell cycle arrest, mitochondrial
dysfunction
- CRRT
อาจช่วยปรับภูมิคุ้มกันและพยุงการทำงานของไต
6. Nervous system
- Encephalopathy
เป็นภาวะที่พบบ่อย
- Blood-brain
barrier dysfunction, cytokine effect, vagus nerve มีบทบาทสำคัญ
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 มีรายงานว่ามีผู้ป่วย
sepsis ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 164,000 รายต่อปี
อย่างไรก็ตามอุบัติการณ์ของ sepsis เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยการศึกษาจากฐานข้อมูลต่าง ๆ พบว่า:
- ฐานข้อมูลระดับชาติของสหรัฐฯ ประเมินว่ามีผู้ป่วย sepsis มากกว่า 1.6 ล้านรายต่อปี (ช่วงปี 1979-2000)
- การศึกษาประชากรย้อนหลังพบว่าอัตรา sepsis และ septic
shock เพิ่มจาก 13 เป็น 78 รายต่อ 100,000 คน (ปี 1998–2009)
- ฐานข้อมูลนานาชาติพบอุบัติการณ์ทั่วโลกที่ 437 รายต่อ
100,000 คน/ปี ในช่วงปี 1995–2015 โดยในปี 2017 มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 48.9 ล้านราย และเสียชีวิต 11 ล้านราย (19.7%
ของการเสียชีวิตทั่วโลก)
- การศึกษาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย 27 แห่งในสหรัฐฯ
(2005–2014) พบว่าอัตรา septic shock เพิ่มจาก 12.8 เป็น 18.6 ต่อ
1,000 รายรับใหม่ และอัตราการเสียชีวิตลดลงจาก 55%
เป็น 51%
ปัจจัยที่ส่งผลให้ sepsis เพิ่มขึ้น
ได้แก่ อายุที่มากขึ้น, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, การติดเชื้อดื้อยา
และการตรวจวินิจฉัยที่เร็วขึ้นจากการรณรงค์ให้ความรู้ด้าน sepsis
ในทางตรงกันข้าม มีบางงานวิจัยรายงานว่าอัตรา sepsis
คงที่หรือเริ่มลดลง เช่น:
- การศึกษาปี 2017 จากโรงพยาบาล 409 แห่งในสหรัฐฯ พบว่าอัตรา sepsis คงที่ที่ 6%
โดยอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลลดลง 3%
- การศึกษาในสหราชอาณาจักรรายงานว่าอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วย nonsurgical
sepsis ลดลงจาก 55% เป็น 32% (ช่วงปี 1988–2019)
กลุ่มเสี่ยงสูง
- เพศชายเชื้อสาย African-American
- ฤดูหนาว (สัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจ)
- ผู้สูงอายุ ≥65 ปี (คิดเป็น 60–85%
ของผู้ป่วยทั้งหมด)
เชื้อที่เป็นสาเหตุ (Pathogens)
- ส่วนใหญ่เกิดจาก bacteria โดยเฉพาะ Gram-positive
bacteria เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุดในสหรัฐฯ
- Gram-negative
bacteria และ fungi ก็มีความสำคัญ
- ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย sepsis ตรวจไม่พบเชื้อ
(culture negative sepsis)
- Viruses
ที่ก่อโรค ได้แก่ influenza A/B, RSV, coronavirus,
adenovirus, และ emerging viruses เช่น SARS-CoV,
MERS-CoV, SARS-CoV-2
ความรุนแรงของโรค (Disease severity)
- อัตราผู้ป่วยที่มี organ dysfunction เพิ่มขึ้นจาก
26% เป็น 44% (ช่วงปี 1993–2003)
- ภาวะแทรกซบที่พบบ่อย ได้แก่ ARDS, acute kidney injury,
DIC
คำจำกัดความ (Definitions)
- Sepsis-3
(2016): ภาวะอันตรายจาก organ dysfunction ที่เกิดจาก dysregulated host response ต่อการติดเชื้อ
- นิยาม organ dysfunction: คะแนน SOFA
เพิ่มขึ้น ≥2 คะแนน จาก baseline
Septic shock: ผู้ป่วยที่มี sepsis
และยังต้องใช้ vasopressors เพื่อรักษา
MAP ≥65 mmHg และมี lactate >2
mmol/L แม้ได้รับ fluid resuscitation เพียงพอ
Early sepsis: ยังไม่มีนิยามชัดเจน
แต่การคัดกรองด้วย qSOFA หรือ NEWS มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะ NEWS ที่แม่นยำกว่าจากหลายการศึกษา
การใช้ AI และระบบแจ้งเตือน
(Alert systems)
- ระบบ TREWS และ SPOT ใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจจับ sepsis ล่วงหน้า
- มีข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจลดอัตราการเสียชีวิตจาก sepsis ได้ 3–10%
นิยามอื่น
- MODS:
ความล้มเหลวของหลายระบบอวัยวะ
ที่ต้องได้รับการพยุงเพื่อคงการทำงาน
- SIRS:
นิยามเดิมของ sepsis แต่ไม่จำเพาะเจาะจงพอ
จึงไม่นิยมใช้แล้ว
- Pregnancy:
ระบบคะแนนมาตรฐาน (SOFA/SIRS) ใช้ไม่ได้โดยตรงในหญิงตั้งครรภ์
จึงมีข้อเสนอให้ใช้คะแนนเฉพาะกลุ่ม เช่น Sepsis in Obstetrics
Score
การวินิจฉัย (Diagnosis)
การวินิจฉัย sepsis อาศัยการประเมินร่วมกันระหว่างข้อมูลทางคลินิก
แล็บ การถ่ายภาพ และการตอบสนองต่อการรักษา ไม่มี marker เดี่ยวใดที่สามารถยืนยันการวินิจฉัยได้อย่างสมบูรณ์
Clinical findings
- อาการไม่จำเพาะ เช่น ไข้ ความดันต่ำ tachycardia tachypnea
- อาการแสดงของ end-organ hypoperfusion เช่น altered
mental status, oliguria, mottled skin
Laboratory findings
- leukocytosis
หรือ leukopenia
- thrombocytopenia
- hyperlactatemia
(lactate >2 mmol/L)
- elevated
creatinine, bilirubin, INR, aPTT
- procalcitonin
หรือ MR-proADM อาจช่วยบ่งชี้การติดเชื้อแบคทีเรีย
Microbiology
- ควรเพาะเชื้อก่อนให้ยาปฏิชีวนะ
แต่การตรวจไม่พบเชื้อไม่ได้แปลว่าไม่ใช่ sepsis
- blood
culture ให้ผลบวกเพียง 30–50% ก่อนเริ่ม antibiotic
Imaging
- ไม่มีภาพถ่ายเฉพาะเจาะจงสำหรับ sepsis ต้องพิจารณาตามตำแหน่งของการติดเชื้อ
เช่น ปอด ท้อง สมอง
Hemodynamic evaluation
- การใส่ pulmonary artery catheter ใช้จำกัดมาก
มักพึ่ง clinical judgment
พยากรณ์โรค (Prognosis)
อัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาล อยู่ระหว่าง 10–52% ขึ้นกับนิยามและวิธีการเก็บข้อมูล
ผู้ป่วยที่รอดชีวิตส่วนหนึ่งยังต้องเข้ารับการดูแลต่อเนื่องใน post-acute
care หรือ hospice
- ผู้ป่วยที่มี septic shock มีอัตราการเสียชีวิต
≥40%
- ผู้ป่วยที่มี sepsis โดยไม่มีภาวะ shock
อัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ย ≥10%
- อัตราการเสียชีวิตลดลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็นผลจากการวินิจฉัยที่เร็วขึ้นและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลกระทบระยะยาว:
- ผู้รอดชีวิตจาก sepsis มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการ
readmission, การติดเชื้อซ้ำ และการเกิดโรคเรื้อรัง
เช่น โรคหัวใจหรือ stroke
- คุณภาพชีวิตหลังจากออกจาก ICU แย่ลงอย่างชัดเจน
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพยากรณ์โรค:
- host
response ที่ผิดปกติ (เช่น hypothermia, leukopenia)
- comorbidities
(เช่น malignancy, liver disease, AIDS)
- advanced
age
- hyperglycemia,
hypocoagulability
- site
ของการติดเชื้อ (infection site) เช่น sepsis
จาก urinary tract มักมี mortality
ต่ำกว่าจาก pneumonia หรือ GI
source
- type
ของ pathogen โดย nosocomial
infections มีผลเสียมากกว่า community-acquired
การรักษาที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์:
- การให้ appropriate antibiotic อย่างรวดเร็วช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
- prior
antibiotic use อาจเพิ่มความเสี่ยงเนื่องจากเชื้อดื้อยา
- failure
to restore perfusion (lactate สูง) เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ไม่ดี
แนวทางจำแนกกลุ่มผู้ป่วย (Phenotypes):
- งานวิจัยบางฉบับเสนอการแบ่งผู้ป่วย sepsis ออกเป็น
4 กลุ่ม phenotype (α, β,
γ, δ) เพื่อทำนายอัตราการเสียชีวิตและตอบสนองต่อการรักษา
การจัดการ (Management)
หลักการสำคัญ:
1.
Early recognition and diagnosis
2.
Early antibiotic administration (ภายใน 1 ชั่วโมงหลังการวินิจฉัย)
3.
Fluid resuscitation – คำแนะนำคือ
crystalloid ≥30 mL/kg ภายใน 3 ชั่วโมงแรก
4.
Vasopressor therapy – ใช้เมื่อ
MAP <65 mmHg หลัง fluid resuscitation เพียงพอ
Antibiotics
- ควรเริ่ม broad-spectrum antibiotic โดยไม่ชักช้า
แล้วจึงปรับตาม culture
- ควรส่ง blood culture ก่อนให้ยา
(แต่ไม่ต้องรอผล)
Vasopressors
- ตัวเลือกแรกคือ norepinephrine
- หากไม่พอ อาจเพิ่ม vasopressin, epinephrine
- dopamine
ไม่แนะนำยกเว้นกรณี select
Monitoring
- lactate
level, urine output, MAP, mental status
- SOFA
score เพื่อติดตามอวัยวะล้มเหลว
Source control
- drain
abscess, remove infected device, surgery ตามข้อบ่งชี้
Organ support
- mechanical
ventilation สำหรับ ARDS
- renal
replacement therapy สำหรับ AKI
Adjunctive therapy
- corticosteroids:
ใช้ใน septic shock refractory to fluids และ vasopressors
แนวโน้มใหม่ในการดูแล
- individualized
fluid management
- biomarker-guided
therapy
- AI-based
alert systems
แนวทางสำคัญตาม Surviving Sepsis
Campaign:
- ชุดคำแนะนำ "1-hour bundle" และ
"3-hour bundle" ยังเป็นแนวทางหลัก
- การดูแลผู้ป่วยควรเน้น multidisciplinary และใช้
scoring system ประกอบการตัดสินใจ
การประเมินและการดูแลรักษาเบื้องต้นในชั่วโมงแรก
(Immediate Evaluation and Management)
1. การประเมินและรักษาภายใน 1 ชั่วโมงแรก (Sepsis first hour bundle)
- เป้าหมายหลัก ได้แก่
การประเมินสัญญาณชีพเบื้องต้น การให้ oxygen ถ้ามี hypoxemia,
การให้สารน้ำและยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำโดยเร็วที่สุด
และการเจาะเลือดส่งตรวจที่จำเป็น
- การรักษาควรเริ่มทันทีโดยไม่ต้องรอผลแล็บ ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่
ยิ่งลดอัตราตายได้มากขึ้น
2. การดูแลระบบทางเดินหายใจ (Airway
and Breathing)
- ให้ oxygen ในผู้ป่วยที่มี hypoxemia
โดยมีเป้าหมาย SpO₂ 90–96%
- พิจารณาใช้ high-flow nasal cannula (HFNC) หรือ noninvasive ventilation (NIV) ถ้าหายใจลำบากหรือมีภาวะ
hypoxemia รุนแรง
- Intubation
ควรทำเมื่อมีภาวะ altered mental status หรือ work of breathing มากผิดปกติ
- ในการ intubate ควรใช้เทคนิค rapid
sequence intubation (RSI)
3. การให้สารน้ำ (Fluid
resuscitation)
- ให้ crystalloid (เช่น Ringer's
lactate หรือ balanced solution) ปริมาณ 30
mL/kg ภายใน 3 ชั่วโมงแรก
- ติดตามผลของ fluid โดยใช้ clinical
signs, urine output และพิจารณาใช้ dynamic indices เช่น passive leg raising test ถ้า available
- หยุดให้ fluid เพิ่มเมื่อไม่มีการตอบสนอง
หรือตรวจพบ pulmonary edema
4. การให้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic
administration)
- ให้ broad-spectrum intravenous antibiotics โดยเร็วที่สุด ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังประเมินว่าเป็น
sepsis/septic shock
- ควรเพาะเลือดอย่างน้อย 2 site ก่อนให้ยา
แต่ไม่ควรรอผล lab หรือ culture
- ยาที่ใช้ขึ้นกับบริบท เช่น vancomycin + cefepime หรือ meropenem หรือ combination
therapy ถ้ามีความเสี่ยง Pseudomonas หรือ
MRSA
5. การตรวจเบื้องต้น (Initial
investigations)
ควรดำเนินการภายใน 45 นาที
โดยไม่ให้ชะลอการให้สารน้ำและยาปฏิชีวนะ
- ตรวจ CBC, LFT, renal function, coagulation, serum
lactate, procalcitonin (ถ้ามี)
- เจาะ blood culture จากอย่างน้อย 2
site, ร่วมกับ culture อื่น ๆ เช่น urine,
sputum, wound
- Imaging:
chest X-ray, CT abdomen/pelvis ตาม clinical suspicion
- ABG
และ lactate เพื่อประเมิน hypoperfusion
6. การติดตามและประเมินผลการรักษา (Monitoring
therapeutic response)
- ใช้เป้าหมายทางคลินิก เช่น MAP ≥ 65
mmHg, urine output ≥ 0.5 mL/kg/hr
- ติดตาม lactate clearance ทุก 6 ชั่วโมง
- พิจารณาใส่ arterial line และ central
line หากมี hypotension refractory หรือใช้
vasopressor
- หลีกเลี่ยงการใช้ pulmonary artery catheter โดยไม่จำเป็น
7. การควบคุมแหล่งติดเชื้อ (Source
control)
- ดำเนินการให้เร็วที่สุดภายใน 6–12 ชั่วโมง เช่น
drainage ของ abscess, removal ของ
infected catheter, surgical intervention
8. การให้ Vasopressor
- เมื่อได้รับ fluid แล้ว BP ยังต่ำ ให้เริ่ม norepinephrine เป็น first-line
vasopressor
- หากยังไม่ตอบสนอง อาจพิจารณา vasopressin หรือ epinephrine
- ใช้ peripheral line ได้ในระยะแรก
แต่ควรเปลี่ยนเป็น central line หากต้องใช้ต่อเนื่อง
9. การพิจารณา corticosteroids
- พิจารณาให้ hydrocortisone ในกรณี septic
shock refractory ต่อ fluid และ vasopressors
10. การลดปริมาณ fluid และ
antibiotic (De-escalation)
- พิจารณาหยุดหรือปรับลด fluid หลังผ่าน phase
initial resuscitation แล้ว
- De-escalate
antibiotic หลังได้ผล culture หรือผู้ป่วยดีขึ้นทางคลินิก
- ระยะเวลารักษาทั่วไป 5–7 วัน หากไม่มี indication
พิเศษให้รักษานาน
11. Supportive therapies
- VTE
prophylaxis, nutritional support, glycemic control, sedation และ stress ulcer prophylaxis ตามความเหมาะสม
12. ผู้ป่วยตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- ยึดหลักการเดียวกับ non-pregnant แต่ต้องพิจารณา
physiology ที่เปลี่ยนไป เช่น volume status,
baseline MAP
- ใช้ score เช่น Sepsis in Obstetrics
Score (SOS) แทน SOFA/SIRS
13. Post-sepsis care
- ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและติดตามอาการของ Post-intensive
care syndrome (PICS)
- ควรมีแผนดูแลระยะยาว เช่น ประเมิน cognitive function,
emotional support, physical rehab
อ้างอิงเนื้อหาจาก Uptodate
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น