Taste and olfactory disorders
บทนำ
Taste และ Smell disorders พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของ metabolic/endocrine,
โรคทางระบบประสาท, การอักเสบในโพรงจมูกและไซนัส,
การบาดเจ็บที่ศีรษะ, การติดเชื้อ, สารเคมี, ยา และการเสื่อมตามวัย
ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและโภชนาการอย่างมาก
คำจำกัดความ
- Taste
- Hypogeusia
= การรับรสลดลง
- Ageusia
= สูญเสียการรับรส
- Dysgeusia
= รสผิดเพี้ยน
- Aliageusia
= ของอร่อยกลับมีรสไม่พึงประสงค์
- Phantogeusia
= รสผิดปกติแม้ไม่มี stimulus
- Smell
- Hyposmia
= การรับกลิ่นลดลง
- Anosmia
= สูญเสียการรับกลิ่น
- Parosmia
= รับกลิ่นเพี้ยน (อาจมี stimulus หรือไม่ก็ได้)
- Dysosmia
= คำกว้าง ใช้เรียกความผิดปกติของกลิ่น
ระบาดวิทยา
- ความผิดปกติของ smell พบมากขึ้นตามอายุ
- >
60 ปี: Anosmia พบ 14–22%
- Meta-analysis:
~29% ของผู้ใหญ่มี olfactory dysfunction (objective
test)
- Taste
impairment ~17% ในผู้ใหญ่อายุ > 40 ปี
- ผู้ป่วยมักรายงาน smell ผิดปกติมากกว่า taste
กายวิภาคและสรีรวิทยา
Taste
- Taste
receptor cells อายุขัยเฉลี่ย 10 วัน
อยู่ใน taste buds (50–150 cells)
- Papillae:
Fungiform (anterior tongue), Foliate (posterolateral tongue),
Circumvallate (rear tongue)
- Innervation:
CN VII (chorda tympani, palate), CN IX (posterior tongue), CN X (pharynx,
larynx)
- ข้อมูล taste ส่งไป solitary nucleus → thalamus → gustatory cortex
- ร่วมกับ trigeminal V (สัมผัสเผ็ด/ระคายเคือง)
และน้ำลายช่วยนำ tastant
Olfaction
- Olfactory
receptor neurons อยู่ที่ superior/middle turbinates และ nasal septum
- Axons ผ่าน cribriform plate →
olfactory bulb →
olfactory cortex, limbic system
- โครงสร้างเสื่อมตามอายุ มี neuronal apoptosis และ
neuron regeneration ลดลง
- การรับรู้ flavor เป็น multisensory
(taste + smell + trigeminal + visual)
สาเหตุของ Taste Dysfunction
1.
ติดเชื้อ/การอักเสบ:
oral candidiasis, dental caries, glossitis, Sjögren’s, radiation, reflux
2.
COVID-19: พบใน 63–85%
ของผู้ป่วย
3.
ยา: ACEI, ARB,
antibiotics (clarithromycin, metronidazole), lithium, chemotherapeutics ฯลฯ
4.
สารพิษ/โลหะ: lead,
arsenic, zinc oxide fumes
5.
ประสาทบาดเจ็บ: head
trauma, ear surgery (chorda tympani injury), tonsillectomy
6.
ขาดสารอาหาร: Vitamin
B12, Zinc
7.
Metabolic/Endocrine: ESKD, Diabetes,
Hypothyroidism
8.
Neurologic: Alzheimer, Parkinson, MS, GBS
9.
Burning mouth syndrome: unknown,
postmenopausal
10.
Tobacco use
11.
Aging: taste sensitivity ลดลง,
saliva composition เปลี่ยน
สาเหตุของ Olfactory Dysfunction
1.
Nasal/Sinus disease: chronic
rhinosinusitis, nasal polyps, allergic rhinitis
2.
Post-infectious: URI, COVID-19 (anosmia
~79%, recovery ภายใน 10 วัน, แต่ ~25% มี persistent loss)
3.
Post-traumatic: TBI, facial fracture,
surgery → bulb/axon/cortex
injury
4.
CNS abnormalities: Alzheimer, Parkinson,
Lewy body dementia, MS, ischemia, SAH, Kallmann syndrome
5.
สารพิษ/สารเคมี:
ammonia, formaldehyde, welding fumes, air pollution
6.
ยา/สารเสพติด:
beta-blockers, CCB, ACEI, intranasal zinc, intranasal cocaine
7.
Endocrine: Diabetes, Hypothyroidism
8.
Tobacco use
9.
Aging: olfactory bulb neurons ลดลงอย่างมาก (60,000 →
14,500 ที่อายุ 95 ปี)
Key Clinical Notes
|
การประเมินและการจัดการความผิดปกติของการรับรส–กลิ่น
บทนำ (ภาพรวมทางคลินิก)
- ผู้ใหญ่ > 40 ปีมีความผิดปกติการดมกลิ่นได้พอสมควร
และคุณภาพชีวิตมักแย่ลง (เสี่ยงภาวะโภชนาการบกพร่อง ซึมเศร้า
และอันตรายจากการตรวจจับควัน/แก๊สไม่ได้)
- หลายรายไม่รู้ตัว → ต้อง “คัดกรองเชิงรุก” ด้วยคำถามสั้น ๆ
โครงร่างการประเมิน (Bedside
Algorithm)
1.
คัดกรอง/ซักประวัติแบบเจาะจง
- คำถามคัดกรอง 3 ข้อใน 12 เดือนที่ผ่านมา:
1.
มีปัญหาเรื่องการดมกลิ่นไหม?
2.
ความสามารถดมกลิ่นตอนนี้เทียบอายุ ~25
ปีเป็นอย่างไร?
3.
เคยได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ทั้งที่ไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือไม่?
- ลักษณะอาการ: เฉียบพลัน (หลัง URI/COVID-19,
head trauma) vs ค่อยเป็น (allergic
rhinitis/polyps/เนื้องอก) vs เป็น ๆ
หาย ๆ (ภูมิแพ้)
- ปัจจัยเสี่ยง/สัมผัส: อาชีพ (ตัวทำละลาย/โลหะหนัก/ไอเชื่อม), บุหรี่/แอลกอฮอล์, ยาที่ใช้ (ACEI/ARB/β-blocker/CCB/ยาปฏิชีวนะบางชนิด/คลอร์เฮกซิดีน/สังกะสีพ่นจมูก ฯลฯ)
- อาการร่วมระบบประสาท: ปวดศีรษะ พฤติกรรมเปลี่ยน ชัก/โฟกัสเดฟซิซิต → นึกถึงพยาธิสภาพ
CNS
- อาการช่องปาก/คอหอย: ปากแห้ง candidiasis/glossitis ใส่ฟันปลอม
2.
ตรวจร่างกายเป้าหมาย
- จมูก–ไซนัส: มองหา polyp/อักเสบ/อุดกั้น (ควรส่งต่อ ENT เพื่อ nasal
endoscopy เมื่อทำได้)
- ช่องปาก–ฟัน–ลิ้น: ปราศจากฟันปลอม, ตรวจเหงือก/คราบเชื้อรา/รอยโรค/จำนวน papillae
- ระบบประสาท: เน้น CN I, V, VII, IX,
X
3.
การทดสอบเชิงวัตถุประสงค์
(เลือกตามบริบท)
- กลิ่น (office-based): UPSIT (40 กลิ่น),
Sniffin’ Sticks (TDI) ใช้เวลาไม่นาน
- การชิมรส: Whole-mouth taste test (หวาน
เปรี้ยว เค็ม ขม) + spatial test (สี่ควอดแรนท์ของลิ้น/เพดานอ่อน)
- Somatosensory:
Semmes–Weinstein monofilaments ในช่องปาก
(หากสงสัยเส้นประสาทรับสัมผัสผิดปกติ)
- Chemosensory: butanol threshold (olfactory threshold), flavor
discrimination (แยกกลิ่น–รสรวม)
4.
ภาพถ่ายรังสี
(ทำเมื่อมีข้อบ่งชี้)
- MRI
brain with contrast: มีประวัติ trauma/อาการทางระบบประสาท/สงสัยก้อน
- CT
paranasal sinuses: สงสัยโรคไซนัส/กายวิภาคฐานกะโหลก
- Idiopathic
hyposmia/anosmia โดยไร้ red flags → โดยมากไม่พบสิ่งอธิบายจากภาพถ่าย
(ผลบวกต่ำ)
5.
ห้องปฏิบัติการ
(คัดเลือกตามประวัติ–ตรวจ)
- ชุดพื้นฐาน: CBC, ESR/CRP, BUN/Cr, LFT, TSH/FT4
- ตามข้อบ่งชี้: B12, Zn (เสี่ยงขาดสารอาหาร/ESKD/IBD/ยาขับสังกะสี), ANA/anti-Ro/La (สงสัย Sjögren’s),
โลหะหนัก (lead/arsenic ฯลฯ)
6.
เมื่อใดควรส่งต่อ
- กลิ่น/รสผิดปกติร่วม neuro deficits, red flags
(อาการเฉียบพลันรุนแรง, ปวดศีรษะผิดปกติ,
น้ำหนักลดมาก, ชัก, อาการทรุดเร็ว)
- ความผิดปกติคงอยู่แม้รักษาเบื้องต้นครบถ้วน → ENT/Smell
& Taste Center, Neurology, Allergy/Immunology, Nutrition, Mental
Health ตามสาเหตุ
การให้คำแนะนำผู้ป่วย (สำคัญมาก)
- ความปลอดภัย: ติดตั้ง/ตรวจเช็ก smoke
& gas detector; วันหมดอายุอาหารแช่เย็น; ให้ญาติช่วยตรวจตู้เย็นเป็นระยะ
- สุขภาพจิต: คัดกรองซึมเศร้า (โดยเฉพาะราย trauma/สูญเสียทั้งรสและกลิ่น)
- โภชนาการ: ปรับพฤติกรรมการกิน; ส่งนักโภชนาการได้ทั้งกรณีน้ำหนักลดหรือเพิ่ม
การรักษา: ยึด “สาเหตุเป็นหลัก” +
การฝึกดมกลิ่นเป็นแกนกลาง
1) โรคจมูก–ไซนัส (รวมโพลิป)
- คุมโรคพื้นฐาน: saline irrigation, intranasal steroid
(เทคนิคการพ่น/รินเพื่อถึง olfactory cleft สำคัญ)
- Systemic
corticosteroid (short course 2–3 สัปดาห์):
ลดบวม/โพลิป (ชั่งน้ำหนักอาการไม่พึงประสงค์) → ตามด้วยรักษาประคับด้วยสเตียรอยด์พ่น/ริน
- Budesonide
irrigation (ampule 0.5 mg/2 mL ใช้เข้มข้นหรือเจือจางในน้ำเกลือปริมาตรมาก)
ช่วยการกระจายยา; มีข้อมูลเสริมฤทธิ์หลัง
systemic corticosteroid
- ยาปฏิชีวนะ: เมื่อมีหลักฐานติดเชื้อแบคทีเรียร่วม
- Dupilumab:
โพลิปจมูกดื้อการรักษา (ติดข้อบ่งใช้/สิทธิการรักษา)
- ผ่าตัด ESS: เมื่อการรักษาล้มเหลว; ผลต่อการได้กลิ่น “แปรผัน” และควรต่อเนื่องคุมการอักเสบหลังผ่าตัด
2) Allergic rhinitis
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้, antihistamine PO/IN, intranasal
steroid; immunotherapy ตามข้อบ่งชี้
- Leukotriene
receptor antagonists อาจช่วยในรายมีโพลิปร่วมบางส่วน
(ปัจจุบันไม่ใช่ first-line สำหรับ AR เดี่ยว ๆ)
3) Post-viral olfactory dysfunction (รวม post-COVID)
- Olfactory
training (แกนหลัก):
- สูดกลิ่นเด่น 4 ชนิด
(ดอกไม้–ผลไม้–เครื่องเทศ–เรซิน เช่น rose-lemon-clove-eucalytus) ครั้งละ ~10 วินาที/กลิ่น, วันละ 2 ครั้ง, อย่างน้อย
12 สัปดาห์ (ยิ่งนาน/หลายกลิ่น/ความเข้มข้นสูงอาจได้ผลดีกว่า)
- พิจารณาเสริม: budesonide irrigation + training ในรายรุนแรง/ดื้อรักษา
4) ความผิดปกติจากสาเหตุอื่น (คละสาเหตุ)
- Olfactory
training ยังมีบทบาท (แม้ไม่ใช่ PVOD)
- ผู้สูงอายุ/พาร์กินสัน: training อาจเพิ่ม sensitivity/discrimination
และอารมณ์ดีขึ้น
5) Parosmia/Phantosmia
- รักษาสาเหตุร่วม (ปากแห้ง/คัดจมูก/ภูมิแพ้)
- ทางเลือก off-label เมื่อรบกวนมาก:
- Clonazepam
0.5–1 mg PO qHS (แจ้งความเสี่ยงง่วง/ล้ม/พึ่งพิง
โดยเฉพาะผู้สูงอายุ)
- Case
report: ยากันชัก (phenytoin/valproate), ยาไมเกรน (topiramate/verapamil) อาจช่วยบางราย
- ผ่าตัดตัด olfactory mucosa: เฉพาะรายดื้อทุกวิธีและรบกวนการดำเนินชีวิตมาก
6) Dysgeusia (รสผิดเพี้ยน)
- จัดการสาเหตุ: GERD/LPR (H2RA/PPI), candidiasis, ขาด B12/Zn, ปรับ/เลิกยาเป็นเหตุ,
หยุดยาสังกะสีพ่นจมูก
- Clonazepam
0.5–1 mg qHS (off-label) พิจารณาในรายดื้อ
(อ้างอิงประสบการณ์คลินิก/ข้อมูลทางอ้อม)
7) สิ่งที่ “ยังไม่แนะนำเป็นกิจวัตร”
(หลักฐานจำกัด/ไม่เป็นมาตรฐาน)
- Theophylline
(รับประทาน/พ่นจมูก), intranasal sodium citrate,
vitamin A, alpha-lipoic acid, stellate ganglion block, PRP—อาจพิจารณาเฉพาะราย/แหล่งเชี่ยวชาญพร้อมการอธิบายความไม่แน่นอนของประสิทธิผลและความเสี่ยง
จุดเน้นด้านยาและความปลอดภัย
- Systemic
corticosteroid: ให้สั้นที่สุดที่ควบคุมอาการได้; ประเมินเบาหวาน/กระดูก/ติดเชื้อแฝง
- Clonazepam:
เริ่มขนาดต่ำ, ประเมินง่วง–เสี่ยงล้ม–OSA/โรคปอด, พิจารณาลดหยุดเมื่อดีขึ้น
- หลีกเลี่ยง intranasal zinc (เสี่ยง hyposmia/anosmia)
พยากรณ์โรค
- PVOD:
ดีขึ้นได้เอง/ด้วย training แต่บางรายคงค้าง
- Post-trauma:
ฟื้นได้น้อยกว่า; หากดีขึ้นมักเกิดในไม่กี่เดือนแรก
- ปัจจัยทำนายฟื้น: อายุอ่อนกว่า, ความรุนแรงเริ่มต้นน้อย,
ระยะเวลาป่วยสั้น
- ผู้สูงอายุที่มี anosmia: เกี่ยวข้องกับ mortality
และ frailty ที่สูงขึ้น (พหุปัจจัย → ต้องเน้นโภชนาการ/ความปลอดภัย/สุขภาพจิต)
แผนดูแลติดตาม (Follow-up Plan)
- วัด “เชิงวัตถุ” ก่อน–หลัง (UPSIT/TDI หรือเครื่องมือที่มี)
ทุก 8–12 สัปดาห์ ระหว่างทำ
olfactory training
- ทบทวนยา/สัมผัสสาร, ชั่งน้ำหนัก–BMI, คัดกรองซึมเศร้า, ประเมินความเสี่ยงความปลอดภัยในบ้าน
- ถ้า ไม่มีสาเหตุชัด + อาการคงเดิม > 3–6 เดือน → พิจารณาส่ง ENT/Smell
Center และ/หรือ Neuro, Imaging ตามข้อบ่งชี้
สรุปสั้นสำหรับเวรดึก
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น