วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Chronic glycemia testing (Hb A1C & CGM)

Chronic glycemia testing (Hb A1C & CGM)

Key points

  • A1C = ค่าเฉลี่ยน้ำตาลถ่วงน้ำหนัก ~8–12 สัปดาห์ (อายุเม็ดเลือดรวม ~120 วัน) ใช้ วินิจฉัย และ ติดตาม การรักษา เป็น surrogate endpoint มาตรฐานในงานวิจัยยาเบาหวาน
  • CGM เสริม A1C ด้วยข้อมูลเชิงเวลา: mean glucose, Time-in-Range (TIR), hypoglycemia, hyperglycemia, variability; มี GMI (glucose management indicator) (ประมาณการ A1C จาก CGM) ซึ่งอาจ คลาดเคลื่อน จาก A1C แลบได้
  • เมื่อ A1C ใช้การไม่ได้/คลาดเคลื่อน: ใช้ CGM, fructosamine หรือ glycated albumin (ค่าเฉลี่ย 2–3 สัปดาห์)

การแปลผลและเป้าหมายสำคัญ

  • ความสัมพันธ์ A1C eAG (estimate average glucose): eAG (mg/dL) = 28.7 × A1C 46.7 (จาก ADAG)
  • เป้าหมาย CGM (ผู้ใหญ่ทั่วไป ไม่ตั้งครรภ์)
    • TIR 70–180 mg/dL 70%
    • <70 mg/dL <4%, <54 mg/dL <1%
    • >180 mg/dL <25%, >250 mg/dL <5%
    • ผู้สูงอายุ/เปราะบางอาจผ่อนเป้าหมายตามดุลยพินิจ

เมื่อ A1C “ไม่ตรงใจ” หรือ “ขัดแย้ง” กับ glucose/CGM

1.       ทบทวนข้อมูลน้ำตาล: ให้ดูค่าเฉลี่ย fingerstick/CGM ครบ 2–3 เดือน, ตรวจสอบความแม่นยำมิเตอร์/แถบ

2.       หาสาเหตุ A1C สูงเกินจริง: อายุเม็ดเลือดนาน (B12/folate deficiency), ภาวะที่เพิ่มเม็ดเลือดแก่

3.       A1C ต่ำเกินจริง: hemolysis/thalassemia, ฟื้นตัวจากโลหิตจาง/ให้ EPO, ถ่ายเลือดล่าสุด, nocturnal hypo ที่ไม่ถูกตรวจ—ให้ปรับเวลาตรวจ หรือใช้ CGM

4.       Hemoglobin variants/hemoglobinopathies: วิธีบางชนิดรบกวน A1C; ในโรคแบบ biallelic (เช่น HbSS, HbCC) วัด A1C ไม่ได้ ใช้ CGM/ตัวชี้วัดทางเลือก

5.       CKD ระยะสูง/ฟอกไต/EPO: ความสัมพันธ์ A1C-กลูโคสเพี้ยน เน้น CGM/ตัวชี้วัดทางเลือก


ทางเลือกเมื่อ A1C ใช้ไม่ได้

  • Fructosamine (สะท้อน 2–3 สัปดาห์): ถูก รวดเร็ว แต่เพี้ยนเมื่อ โปรตีนซีรัมผิดปกติ/turnover สูง (nephrotic, protein-losing enteropathy ฯลฯ); ค่าประมาณเทียบ A1C ~7% 266–312 µmol/L
  • Glycated albumin (ร้อยละต่อ albumin ทั้งหมด): 2–3 สัปดาห์; ประมาณ 16–22% A1C ~7%; เพี้ยนเมื่ออัลบูมินผิดปกติ/turnover เปลี่ยน
  • 1,5-Anhydroglucitol (1,5-AG): สะท้อน glycosuria ระยะสั้น; ไม่แนะนำรูทีน และ ใช้ไม่ได้ เมื่อรับ SGLT2 inhibitors; ถูกกระทบด้วยอาหาร/ไต

CGM: การใช้และกับดัก

  • ใช้ Ambulatory Glucose Profile (AGP) เพื่อดูรูปแบบรายวัน: TIR, %hypo (<70, <54), %hyper (>180, >250), SD และ %CV
  • GMI A1C: อาจสูง/ต่ำกว่าจริงได้ (ต่างประชากร/ช่วงเวลา/อัลกอริทึม) อย่าปรับยาด้วย GMI เพียงอย่างเดียว ให้ดู mean glucose + TIR + ภาพรวม AGP 
  • RCT ใน T1D: CGM ช่วยลด A1C และ hypo; ใน T2D ที่ฉีดอินซูลินหลายครั้งก็มักได้ประโยชน์

Point-of-care A1C (POC)

  • ไม่ใช้วินิจฉัย แต่มีประโยชน์ในการ ติดตาม เพราะรู้ผลทันที ช่วยตัดสินใจหน้างาน; ความแม่นยำขึ้นกับอุปกรณ์/การใช้งานที่ถูกวิธี

การจัดการ “glycemic variability”

  • A1C เท่ากัน อาจมี variability ต่างกัน กลยุทธ์รักษาจึงต่าง
  • ถ้า postprandial สูง: ปรับ โภชนาการ (ลดคาร์บดูดซึมเร็ว/เพิ่มใยอาหารละลายน้ำ/กระจายคาร์บต่อมื้อ), ปรับ timing/dose ของ prandial insulin/ยาลดน้ำตาล
  • ถ้าแกว่งจากพฤติกรรม: ปรับเวลาฉีด/ห้ามลืม bolus, ทบทวนการออกกำลัง/มื้อดึก
  • ใช้ CGM หา pattern ซ่อนเร้น (nocturnal hypo, dawn phenomenon)

Workup อย่างเป็นระบบเมื่อเจอ “A1C-glucose discordance”

1.       ยืนยันข้อมูล: เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย fingerstick/CGM 8–12 สัปดาห์ vs A1C; เช็กมิเตอร์/แถบหมดอายุ

2.       คัดกรองสาเหตุทางโลหิตวิทยา: CBC, retic, markers hemolysis; ประเมินโภชนาการ/ขาด B12/folate/เหล็ก; ประวัติ transfusion/EPO

3.       ทบทวนโรคพื้นฐาน: CKD ระยะสูง/ฟอกไต, hemoglobinopathy/variant (ปรึกษาห้องแลบเรื่องวิธีตรวจ A1C ที่ใช้)

4.       ถ้า A1C ใช้ไม่ได้ สลับไป CGM + fructosamine/GA ตามบริบท

5.       ทบทวนยา: SGLT2 หลีกเลี่ยง 1,5-AG

 

Quick orders (ตัวอย่างสั่งตรวจ/ติดตาม)

  • ติดตามปกติ: A1C ทุก 3 เดือน จนคงที่ ทุก 6 เดือน; CGM report (AGP) 14 วัน พร้อม TIR/%hypo/%hyper/%CV
  • เมื่อสงสัย A1C เพี้ยน/มี CKD/hemoglobinopathy/หลังถ่ายเลือด: Fructosamine หรือ Glycated albumin + CGM
  • เมื่อจะเริ่ม/ปรับอินซูลินในผู้เสี่ยง hypo: เน้น CGM-guided titration เน้น ลด %<70 และ <54

 

 แนวทางวิเคราะห์ Continuous Glucose Monitoring (CGM) เพื่อเข้าใจ Metabolism

1. สังเกตแนวโน้มระดับน้ำตาล (Glucose pattern) หลังอาหาร

หลังคุณกินอาหารแต่ละมื้อ ให้สังเกตค่า CGM:

ประเด็นที่ควรสังเกต

ความหมายทาง metabolism

ระดับสูงสุดหลังอาหาร (peak)

ถ้าสูง >160–180 mg/dL = ร่างกายไม่คุมได้ดี

เวลากลับสู่ระดับก่อนอาหาร (return to baseline)

ปกติควรกลับภายใน 2–3 ชม.

ค่าเฉลี่ยตลอดวัน (mean glucose)

ถ้าสูงตลอดแม้ไม่ได้กินแป้ง  อาจมี insulin resistance

ความผันผวนตลอดวัน (glycemic variability)

ความสวิงมาก ๆ = คุม metabolism ไม่ดี

📌 ถ้าอาหารชนิดหนึ่งทำให้ peak สูง + นานกว่าจะลง  คุณอาจมีภาวะดื้อต่ออินซูลินต่ออาหารนั้น


2. ทดสอบแบบ “อาหารทดลอง” (Food experiment)

เช่น กินอาหารประเภทเดียวกันแต่:

  • ปรับ ปริมาณข้าว ทัพพี vs 2 ทัพพี
  • เปรียบ เวลากินตอนเช้ากับตอนเย็น
  • เปรียบ ชนิดแป้งข้าวขาว vs ข้าวกล้อง
  • เปรียบ กับโปรตีนหรือไขมันข้าวล้วน vs ข้าว+ไข่ vs ข้าว+เนื้อ

 แล้วดูว่า กราฟน้ำตาลเปลี่ยนอย่างไรในแต่ละกรณี


3. วิเคราะห์จาก postprandial glucose excursion (PPGE)

PPGE = ระดับน้ำตาล หลังอาหาร - ก่อนอาหาร

  • ค่า PPGE <30–40 mg/dL ถือว่า metabolism ดีมาก
  • ถ้า PPGE >50–60 mg/dL หรือสูงถึง 70–100 mg/dL  อาจมีภาวะทนกลูโคสผิดปกติหรือดื้อต่ออินซูลิน

4. ดูค่า Time in Range (TIR)

เครื่อง CGM มักให้ค่า:

ค่า

หมายถึง

TIR (70–140 หรือ 70–180 mg/dL)

ของเวลาที่น้ำตาลอยู่ในช่วงปลอดภัย

GMI (Glucose Management Indicator)

คล้าย HbA1c โดยประมาณ

SD (Standard deviation)

วัดความสวิง ถ้า >30–40 mg/dL = ผันผวนมาก


🔍 สรุปแนวคิด: ใช้ CGM อย่างไรให้เข้าใจ Metabolism

ทำอะไร

ได้ข้อมูลอะไร

ทดลองอาหารชนิดต่าง ๆ (โปรตีน แป้ง ไขมัน)

ดูว่าอาหารแบบไหนกระตุ้นน้ำตาลน้อยที่สุด

เปรียบเวลา (เช้า vs เย็น)

ร่างกายบางคนทนแป้งตอนเช้าได้ดีกว่าเย็น

เปรียบปริมาณ

ดูระดับ threshold ที่ทำให้น้ำตาลพุ่ง

เพิ่มการออกกำลังกาย

ดูผลต่อกราฟ postprandial glucose


 ตัวอย่างสิ่งที่คุณอาจพบ

  • ข้าวกล้อง ทัพพี + ไข่  glucose ขึ้น 120 แล้วลงใน ชม. (ดี)
  • ข้าวขาว ทัพพี  ขึ้น 185 แล้วอยู่สูงนาน ชม. (เสี่ยง)
  • ขนมปังขาวตอนเย็น  พุ่ง 160 แต่ตอนเช้าพุ่งแค่ 130 (อาจบ่งชี้ว่า insulin sensitivity แย่ลงช่วงค่ำ)

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น