วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Maintenance therapy of epilepsy

Maintenance therapy of epilepsy

1) การส่งต่อ (Referral)

  • ควรส่งต่อ Neurologist เพื่อยืนยันวินิจฉัยและวางแผนรักษา
  • ส่งต่อ Epileptologist เมื่อ: วินิจฉัยไม่ชัด, คุมชักไม่ได้, สงสัย drug-resistant epilepsy

2) การให้ความรู้ผู้ป่วย (Epilepsy counseling)

  • อธิบาย SUDEP (sudden unexpected death in epilepsy: ความเสี่ยงเล็กแต่สำคัญ) และเหตุผลที่ต้องรักษาให้คุมชัก
  • ชี้แจง comorbidities พบบ่อย: depression, anxiety, migraine, CVD
  • แอลกอฮอล์: 1–2 ดริงก์/วันมักปลอดภัยในรายคุมชักได้; 3 ดริงก์/วันหรือช่วง withdrawal 7–48 ชม. เพิ่มเสี่ยงชัก
  • คาเฟอีน: <400 mg/วัน โดยทั่วไปปลอดภัย
  • เน้น ห้ามหยุดยาเอง, อย่าปล่อยยา หมดอายุ/ขาดยา, แจ้งแพทย์ก่อนใช้ยา/สมุนไพร/อาหารเสริมทุกชนิด (เสี่ยง drug interactions)

3) หลักการเริ่มและไตเตรทยา (Titration)

Monotherapy ก่อน (“start low, go slow”)

  • ~50% ควบคุมชักได้ด้วยยาตัวแรก
  • ชอบไตเตรทช้าเพื่อลด dose-dependent/idiosyncratic AEs
  • ต้องช้าเป็นพิเศษ: Lamotrigine (ลดเสี่ยง SJS/TEN; ช้ากว่าเมื่อร่วม Valproate)
  • ผู้สูงอายุ: เริ่ม ขนาดต่ำกว่า และ ไตเตรทช้ากว่า
  • หากต้องคุมเร็ว เลือกยาที่ไตเตรทเร็วได้: Levetiracetam, Lacosamide, Brivaracetam, Valproate, Phenytoin

Target dose (แนวโน้มจากคลินิก)

  • คนจำนวนมากคุมได้ที่ ขนาดต่ำ–กลาง (เช่น VPA ~1500 mg/d, LTG ~300 mg/d, CBZ ~400 mg/d) หากไม่เกิด AEs
  • พิจารณา เวลาเข้าสู่ steady state ก่อนตัดสินว่า “ล้มเหลว”:
    • LEV: peak ~1.3 ชม., steady 24–48 ชม. ชักหลังพ้นช่วงนี้ = อาจ fail
    • LTG: t½ ~25 ชม. ต้องอย่างน้อย 4–5 วันที่ขนาดเป้าหมาย

4) การติดตาม (Monitoring)

ความถี่พบแพทย์

  • เริ่มยา/คุมยังไม่ดี: ทุก 1–3 เดือน
  • คงที่ดี: ทุก 6–12 เดือน
  • ทุกครั้ง: ความถี่ชัก, AEs, adherence, พิจารณา CBC, LFT, RFT, drug levels ตามข้อบ่งชี้

Seizure diary (แนะนำมาก)

  • ติดตามการตอบสนอง, AEs, และ ตัวกระตุ้น (นอนน้อย, เครียด/กังวล, แอลกอฮอล์, ฮอร์โมน, สิ่งเร้าแสง/เสียง/กลิ่น)

5) การตรวจระดับยา (Therapeutic Drug Monitoring; TDM)

ทำเมื่อมีข้อบ่งชี้

  • กำหนด individual therapeutic concentration สำหรับผู้ป่วยรายนั้น
  • สงสัย พิษจากยา, ไม่คุม/ชักแทรก (breakthrough), ประเมิน adherence
  • ช่วง PK เปลี่ยนแปลง: เด็ก/สูงอายุ, โรคร่วม, เปลี่ยนสูตรยา, ตั้งครรภ์, เพิ่ม/หยุดยาที่มีปฏิสัมพันธ์

เทคนิค

  • เก็บ ระดับ trough (ก่อนโดสถัดไป) โดยเฉพาะยาครึ่งชีวิตสั้น (VPA, CBZ, LEV)
  • วัด free level ในยาที่ protein-bound สูง: Phenytoin, Valproate
  • การปรับยา อย่าอิงระดับยาอย่างเดียวต้องประกอบอาการ/ประวัติ

ยาเฉพาะที่ควรทราบ

  • Phenytoin: ดัชนีรักษาแคบ, nonlinear PK เพิ่มขนาดเล็กอาจดันระดับสูงมาก; therapeutic โดยทั่วไป 10–20 mg/L (แต่แปรผันรายบุคคล)
  • Valproate: โดยมากคุมได้ที่ 50–100 mg/L (สูงกว่านี้ได้หากทนได้และจำเป็น)
  • Carbamazepine: โดยมาก 4–12 mg/L (ทั้งประสิทธิภาพและพิษทับซ้อน)
  • Levetiracetam: TDM ไม่จำเป็นเป็นกิจวัตร (ยกเว้น ตั้งครรภ์)
  • Lamotrigine: ความสัมพันธ์ level–efficacy ไม่ชัด; AEs เพิ่มเมื่อ >10 mg/L แต่ผู้ป่วยบางรายทนได้สูงกว่านั้น

หลักฐานโดยรวม

  • การทำ TDM แบบ routine สำหรับ newer ASMs ไม่ชัดว่าช่วย outcome; เน้น อิงคลินิก + ทำเมื่อมีข้อบ่งชี้

6) Wearables / Long-term EEG

  • อุปกรณ์สวมใส่ (accelerometry/EMG/EDA/HRV) มี sensitivity สูง สำหรับ generalized tonic-clonic, แต่ false alarms ยังสูง
  • Subcutaneous ultra-long-term EEG มีศักยภาพเรื่องการพยากรณ์/ตรวจจับ แต่ยังจำกัดในงานวิจัย

7) ปัญหา Nonadherence

พบบ่อย: 26–79%
ผลกระทบ: เพิ่ม mortality (~3.3x), ER/hospitalization, กระดูกหัก, head injury, ค่าใช้จ่าย
ปัจจัยเสี่ยง: อายุน้อย, ซึมเศร้า/กังวล, ความจำแย่; ลดลงในเพศหญิง/อายุมาก/พบแพทย์เฉพาะทาง

กลยุทธ์เพิ่ม adherence

  • ให้ความรู้ + เครื่องมือช่วยจำ: calendar, alarm, pillbox
  • Behavioral interventions (เช่น motivational interviewing + self-monitoring) ช่วย adherence/ระดับยา/คุณภาพชีวิต ดีกว่า ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว
  • ทบทวน AEs และคุยเป้าหมายการรักษาเพื่อลด “หยุดยาเอง”

8) เมื่อตัวยาแรก “ล้มเหลว” หรือมีชักแทรก

  • ถ้า ทนยาได้ และอาการ ดีขึ้นแต่ยังไม่หมด เพิ่มยา (add-on)
  • ถ้า ทนไม่ได้/มี AEs หรือ ไม่ดีขึ้นเลย สับเปลี่ยนยา (substitution)
  • โอกาสปลอดชัก 12 เดือน:
    • หลัง เปลี่ยนยาเพราะ AEs ~50%
    • หลัง ล้มเหลวเรื่อง efficacy โอกาสสำเร็จ ต่ำกว่า (~10–20%)
  • พิจารณาเลือกยา กลไกต่างกัน (ยึดชนิดชักเป็นหลัก; เลี่ยงยาที่ทำให้ชักแย่ลงใน GGE)

9) การใช้ยาสามัญ (Generic Substitution)

  • มาตรฐาน bioequivalence: AUC/Cmax ช่วง 80–125% (90% CI)
  • หลักฐานคุณภาพสูง: ไม่ด้อยกว่า แบรนด์ทั้งด้าน ควบคุมชัก/ความปลอดภัย; ลด cost อย่างชัดเจน
  • ข้อสังเกต: “refilling effect” (ช่วงเปลี่ยนกล่อง/รีฟิล) เพิ่ม breakthrough seizures ได้ ไม่ว่าจะแบรนด์หรือเจเนอริก เน้น ห้ามขาดยา, ให้ผู้ป่วยเตรียมยาสำรอง
  • หากผู้ป่วย “generic-brittle” ให้ เฝ้าระวังระดับยา/อาการ ช่วงเปลี่ยน

10) โครงแบบติดตามในเวชปฏิบัติ (Practical Checklist)

ก่อนเริ่มยา

  • ยืนยันชนิดชัก/กลุ่มโรค, คัดกรองปัจจัยโอกาสชักซ้ำสูง
  • คุย SUDEP/ข้อจำกัดการขับขี่/งานเสี่ยง/แอลกอฮอล์–คาเฟอีน
  • เลือก monotherapy ที่เหมาะกับชนิดชัก + โรคร่วม + ภาวะเฉพาะ (ตั้งครรภ์/ไต/ตับ/ปฏิสัมพันธ์ยา)

ระหว่างไตเตรท

  • เริ่มต่ำ ค่อยๆ เพิ่ม”; กำหนด เป้าหมาย dose/time to steady state
  • นัดติดตาม 1–3 เดือน; เฝ้าระวัง ผื่น/อารมณ์/ง่วง/เดินเซ
  • พิจารณา TDM แบบมีข้อบ่งชี้ (ดูข้อด้านบน)
  • ให้ผู้ป่วยใช้ seizure diary

เมื่อคงที่

  • ติดตาม 6–12 เดือน + labs ตามความเหมาะสม
  • ประเมิน adherence, วางแผนกรณี เดินทาง/รีฟิล
  • ทบทวน ตัวกระตุ้นชัก และ เป้าหมายคุณภาพชีวิต

Key Take-Home

  • เน้น monotherapy, start low–go slow, ใส่ใจ adherence และ พฤติกรรมเสี่ยงชัก
  • ทำ TDM เมื่อมีข้อบ่งชี้ มากกว่าตรวจเป็นกิจวัตรใน newer ASMs
  • เมื่อยาแรกไม่สำเร็จ: add-on ถ้าทนได้/ได้ผลบางส่วน, substitute ถ้าทนไม่ได้/ไม่ช่วย
  • Generic โดยรวม เทียบเท่า และช่วยลดค่าใช้จ่าย — จัดการช่วงเปลี่ยนยาให้ปลอดภัย

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น