วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Adolescent Relationship Abuse (ARA)

Adolescent Relationship Abuse (ARA)


1. นิยามและประเภทของ ARA

นิยาม
Adolescent relationship abuse (ARA) = พฤติกรรมทำร้าย ควบคุม หรือเอาเปรียบในความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก/เพศสัมพันธ์ ในช่วงวัยก่อนวัยรุ่น–วัยรุ่น–วัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยอาจเกิด:

  • ต่อหน้า (in person)
  • ผ่านออนไลน์/ข้อความ (texting, social media, chat)
  • ผ่านบุคคลที่สาม (เช่น เพื่อนส่งคำขู่แทน)

คำอื่นที่ใช้คล้ายกัน: teen dating violence, adolescent dating violence แต่คำว่า ARA กว้างกว่า เพราะ

  • ครอบคลุมตั้งแต่ preteen ถึง young adult
  • ไม่จำกัดแค่ “กำลังคบ” หรือ “dating”
  • รวมพฤติกรรมควบคุม/บงการ แม้ไม่ใช้ความรุนแรงทางกาย

ประเภทหลัก

1.       Physical abuse

o   ขู่ใช้หรือใช้ความรุนแรงทางกาย: ตบ ชก เตะ ถีบ บีบคอ ผลัก ลาก ต่อยด้วยของแข็ง ฯลฯ

2.       Sexual abuse

o   การสัมผัสทางเพศโดยไม่ได้ยินยอม

o   บังคับ/ข่มขู่ให้มีเพศสัมพันธ์หรือกิจกรรมทางเพศที่ไม่ต้องการ

3.       Psychological / Emotional abuse

o   Isolation: ตัดขาดจากเพื่อน/ครอบครัว, หึงหวงเกินเหตุ, คอยตามดูว่าอยู่ที่ไหนกับใคร, เช็กมือถือ/โซเชียล

o   Humiliation: ทำให้รู้สึกผิด โทษเหยื่อว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ

o   Intimidation: ข่มขู่ ทำให้กลัว ทำลายสัตว์เลี้ยง/ทรัพย์สิน ใช้คำพูดรุนแรง

o   Coercion: ขู่ทำร้ายตัวเองหรือคู่หากจะเลิก/ไม่ยอม, กดดันให้ส่งรูปโป๊/เปลือย

4.       Bilateral / Reciprocal violence

o   ทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ (ใช้ความรุนแรงทั้งคู่)

5.       Reproductive coercion

o   กดดันให้ตั้งครรภ์

o   บังคับให้ทำแท้งหรือบังคับให้ตั้งครรภ์ต่อ

o   ทำลาย/แอบทิ้ง/ขัดขวางการใช้คุมกำเนิด

o   เจาะถุงยาง แอบถอดถุงยาง ข่มขู่ไม่ใส่ถุงยาง

6.       Cyber dating abuse

o   ใช้ดิจิทัล (ข้อความ, social media, chat) ในการคุกคาม ควบคุม สอดแนม ประจาน หรือข่มขู่

o   มักพบร่วมกับการใช้ความรุนแรง/บีบบังคับรูปแบบอื่น

7.       Economic abuse

o   พฤติกรรมที่กระทบการเรียน การทำงาน หรือสถานะการเงิน เช่น ขัดขวางไม่ให้ไปเรียน/ทำงาน ควบคุมเงิน ฯลฯ


2. ระบาดวิทยา (Epidemiology)

  • ความชุกของ physical/sexual adolescent dating violence สูงขึ้นตามอายุและพีคใน young adulthood
  • ความชุกแตกต่างตามเชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ (เช่น American Indian/Alaska Native สูงกว่า Asian youth)

ตัวอย่างข้อมูลจากการสำรวจนักเรียนมัธยม

  • ~8% ถูกทำร้ายทางกายโดยคนที่คบหาภายใน 1 ปีที่ผ่านมา
  • ~10% ถูกบังคับให้ทำ “sexual things” โดยคนที่คบหาภายใน 1 ปี
  • หญิงรายงานทั้ง physical+sexual dating violence สูงกว่าชายอย่างมีนัยสำคัญ

กลุ่ม sexual / gender minority

  • เยาวชนที่ระบุอัตลักษณ์เป็น gay, lesbian, bisexual หรือ “not sure” มีอัตรา physical และ sexual dating violence สูงกว่า heterosexual อย่างชัดเจน
  • เยาวชน transgender / gender–expansive มีอัตรา physical และ psychological dating violence สูงกว่าชาย/หญิงที่ระบุเพศชัดเจน

Cyber dating abuse

  • พบได้สูง (บางการศึกษา ~30–40% ของผู้ที่มีประวัติคบหาดูใจ)
  • มักพบร่วมกับ coercion/violence แบบอื่น

Reproductive coercion

  • ในหญิงมัธยมที่มีเพศสัมพันธ์ ประมาณ ~10–15% รายงานว่าถูกบังคับ/แทรกแซงด้านการสืบพันธุ์ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

Age at first IPV

  • สัดส่วนใหญ่ของผู้ใหญ่ที่เป็นเหยื่อ IPV เริ่มถูกกระทำตั้งแต่ก่อนอายุ 25 ปี และจำนวนมากก่อนอายุ 18 ปี
  • ความรุนแรงในวัยรุ่นสัมพันธ์กับการเกิด IPV ซ้ำในวัยผู้ใหญ่

Public health emergencies (เช่น COVID-19)

  • ความชุกและความรุนแรงของ partner-directed violence มักเพิ่มขึ้น และผลกระทบต่อเนื่องหลังวิกฤต

3. ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยปกป้อง

3.1 Risk factors – ปัจจัยเสี่ยงของ ARA victimization

  • ประวัติถูกทำร้ายทางกาย/ทางเพศในวัยเด็ก
  • เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็ว
  • เริ่มมีเพศสัมพันธ์เร็ว
  • การใช้สารเสพติด (แอลกอฮอล์, marijuana, misuse prescription drugs)
  • การตั้งครรภ์และช่วง postpartum โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก (ทั้งเหยื่อและผู้กระทำอาจเป็นวัยรุ่น)
  • Sexting, การแลกเปลี่ยนภาพโป๊/ยั่วยุทางเพศ
  • Sexual minority / Gender minority status
  • สถานะเศรษฐกิจสังคมเสียเปรียบ, การเหยียดเชื้อชาติ
  • อยู่ในระบบคุ้มครองเด็ก / foster care / group home
  • เกี่ยวข้องกับ juvenile justice system
  • เยาวชนไร้บ้าน (เพิ่มความเสี่ยง sexual exploitation)
  • มีคู่คบที่เป็น gang-affiliated, ทัศนคติเรื่องบทบาทเพศที่ไม่เท่าเทียม สนับสนุนความรุนแรงหรือ sexual dominance
  • การติดเชื้อ HIV ตั้งแต่กำเนิด
  • มีประสบการณ์ ARA รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพิ่มโอกาสเจอรูปแบบอื่นร่วม

3.2 Protective factors – ปัจจัยปกป้อง

  • การเข้าร่วม program ป้องกัน/early intervention
  • ความรู้เรื่อง sexual consent และทักษะการสื่อสารเรื่องความต้องการและการยินยอม
  • Positive parenting – การเลี้ยงดูที่อบอุ่น มีขอบเขตชัดเจน วินัยสม่ำเสมอ
  • Prosocial peers – มีกลุ่มเพื่อน/กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ชมรม อาสาสมัคร กลุ่มศาสนา
  • การสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียน, ความผูกพันกับผู้ใหญ่ที่เชื่อถือได้ในโรงเรียน

4. ผลกระทบต่อสุขภาพ

4.1 Sexual health

การถูก ARA ทำให้เสี่ยง:

  • Unintended/unwanted pregnancy
  • STIs/HIV
  • ปัญหาทางนรีเวช เช่น pelvic pain, endometriosis, menstrual problems
  • ไม่สามารถต่อรองการใช้ถุงยาง/คุมกำเนิด
  • Reproductive coercion ถูกบังคับให้ตั้งครรภ์หรือทำแท้ง ลดการเข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย
  • ส่งผลระยะยาวต่อความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางเพศที่ปลอดภัยในอนาคต

4.2 Mental health / Education

สัมพันธ์กับ:

  • Depression, anxiety, PTSD, suicidality
  • Substance use (รวมถึงการถูกใช้สารเสพติดเป็นเครื่องมือควบคุม)
  • Disordered eating
  • Somatic symptoms เรื้อรัง (headache, fatigue, sleep disturbance, dizziness, pelvic pain)
  • ผลการเรียนตก, school absenteeism, drop-out
  • ความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงเป็นพิเศษใน sexual minoritized youth

4.3 General physical health

  • FEAR/Stress เรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอื่น
  • โรคประจำตัว (asthma, diabetes ฯลฯ) ควบคุมแย่ เพราะเข้าไม่ถึงการรักษา
  • Physical injuries: ฟกช้ำ กระดูกหัก บาดเจ็บศีรษะ คอ แขน มือ ขา ฯลฯ
  • Head trauma chronic headache, dizziness, memory problems, frequent falls
  • อัตรา adolescent intimate partner homicide: เหยื่อส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง

5. Warning signs ที่ควรนึกถึง ARA

ไม่มีอาการใดอันเดียวที่จำเพาะ แต่การพบหลายข้อร่วมกันควรกระตุ้นให้สงสัย:

  • อาการบาดเจ็บไม่สอดคล้องกับ history หรือมีซ้ำๆ
  • Chronic nonspecific complaints: ปวดหัว นอนไม่หลับ ปวดท้อง อ่อนเพลีย
  • Depression, anxiety, suicidality
  • Substance use / misuse prescription drugs
  • มารับบริการบ่อยเพื่อ pregnancy test, STI test, emergency contraception (นึกถึง reproductive coercion)
  • Multiple abortions
  • มี sexual partner ที่อายุมากกว่ามาก
  • มี sexual partners หลายคนในช่วงสั้น
  • เริ่ม sexual activity ตั้งแต่อายุน้อยมาก (13 ปี)
  • “Partner” ยืนกรานจะอยู่ในห้องตรวจตลอด
  • ขาดเรียนเพราะ “รู้สึกไม่ปลอดภัย”

6. หลักปฏิบัติในคลินิก (Practice considerations)

6.1 Healing-centered / Trauma-sensitive care

เป้าหมาย

  • ให้ข้อมูลและ resource แก่วัยรุ่นทุกคน (ไม่ต้องรอให้เปิดเผยก่อน)
  • ย้ำว่าเขา “ไม่โดดเดี่ยว” และมีที่พึ่งได้
  • สนับสนุนให้คิดเรื่องความปลอดภัยและทางเลือกของตนเอง

หลัก trauma-sensitive

  • ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนอาจมีประวัติ trauma ใช้น้ำเสียงไม่ตัดสิน, เคารพ privacy, อธิบายขั้นตอนตรวจทุกขั้น
  • หลีกเลี่ยงการซักละเอียดเชิง “สืบสวน” โดยไม่จำเป็น
  • บุคลากรทุกระดับควรได้รับ training เรื่อง trauma, confidentiality, mandatory reporting และวิธีอ้างอิงต่อบริการภายนอก

6.2 การสร้าง “safe space”

  • มีโปสเตอร์/แผ่นพับเรื่อง healthy relationship, ARA, hotline แสดงให้เห็นว่าคุยเรื่องนี้ได้
  • แสดง diversity ของเพศสัมพันธ์/เพศสภาพและรูปแบบความสัมพันธ์
  • นโยบายให้วัยรุ่นอยู่กับแพทย์ “ลำพัง” ช่วงหนึ่งของการตรวจ เสมอ
  • แพทย์ควรรู้จัก resource ในชุมชนและสามารถติดต่อให้ได้จริง (victim advocate, social worker, mental health ฯลฯ)

6.3 Privacy & Confidentiality

  • อธิบายขอบเขตความลับและข้อจำกัดตั้งแต่ต้น เช่น

ถ้ามีใครกำลังทำร้ายคุณอย่างรุนแรง หรือคุณคิดจะทำร้ายตัวเอง อาจจำเป็นต้องบอกผู้ใหญ่คนอื่นเพื่อช่วยให้ปลอดภัย

  • แพทย์ต้องเข้าใจกฎหมาย consent และ mandatory reporting ในพื้นที่ของตน
  • การรายงานโดยไม่ประเมินความปลอดภัยของผู้ป่วยอาจเพิ่มความเสี่ยง จึงควร consult ผู้มีประสบการณ์ เช่น social worker, IPV advocate

6.4 Patient-centered evaluation

  • ใช้ shared decision making: ให้ผู้ป่วยมีส่วนกำหนดวิธีตรวจ (เช่น อยากให้อธิบายทุกขั้นไหม ต้องการฟังเพลงไหม ฯลฯ)
  • ทำให้ encounter “predictable” – บอกล่วงหน้าว่าจะตรวจอะไร ทำอะไรบ้าง
  • ย้ำว่าผู้ป่วยมีสิทธิ ปฏิเสธ การตรวจ/หัตถการใดๆ ได้ และถามเช็คอินเป็นระยะ
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย, อธิบายด้วยภาพ/เขียน/สาธิต, ใช้ teach-back
  • ระวัง flashbacks ระหว่างการตรวจ โดยเฉพาะ pelvic exam

7. การ “address” ARA ในคลินิก

7.1 Universal education & anticipatory guidance

แนวคิด: ให้การให้ข้อมูลเรื่อง healthy/unhealthy relationships เป็น “มาตรฐาน” สำหรับวัยรุ่นทุกคน

เหตุผล

  • สร้างบรรยากาศ patient-centered
  • ทำให้ทั้งเหยื่อและผู้ที่อาจเป็นผู้กระทำเข้าใจว่า ARA คืออะไร และไม่เป็นที่ยอมรับ
  • ลด stigma และเปิดช่องให้มาพูดคุยได้ในอนาคต
  • ช่วยให้วัยรุ่นรู้วิธีช่วยเพื่อนที่อาจกำลังถูกทำร้าย

วิธีเริ่มต้นบทสนทนา (ตัวอย่างภาษาไทยปรับใช้ได้)

  • หมอจะคุยเรื่องความสัมพันธ์ที่ดี–ไม่ดี กับวัยรุ่นทุกคน เพราะมันเกี่ยวกับสุขภาพมาก บางทีสิ่งที่คุยวันนี้อาจช่วยเพื่อนได้ด้วย ถ้าคุณมีเพื่อนที่กังวลเรื่องนี้ก็ชวนเขามาคุยได้”

หัวข้อที่ควรครอบคลุม

1.       ลักษณะ “healthy relationship” – เคารพกัน, เชื่อใจกัน, สื่อสารตรงไปตรงมา, ยอมรับคำว่า “ไม่”

2.       ตัวอย่าง “unhealthy/abusive relationship” – ใช้ความรุนแรง ข่มขู่ ควบคุมตรวจมือถือ ห้ามคบเพื่อน ใช้ sex หรือเงินเป็นเครื่องมือ ฯลฯ

3.       ผลเสียด้านสุขภาพ (pregnancy, STI, mental health, การเรียน)

4.       ให้ข้อมูล resource และ hotline / card สำหรับ ARA, sexual violence, trafficking ฯลฯ

5.       กระตุ้นให้เอาข้อมูลไปแชร์กับเพื่อน

7.2 Universal inquiry (การถามทุกคน)

วิธีถามแบบเปิด + normalize

  • หมอคุยกับคนไข้วัยรุ่นทุกคนเรื่องความสัมพันธ์ เพราะทุกคนควรได้รับการปฏิบัติด้วยความไว้ใจและเคารพ บางคนเคยเล่าว่าคนที่คบชอบด่าว่าหรือคอยเช็กตลอด คุณเคยเจออะไรประมาณนี้ไหม”

High-risk adolescents

สำหรับผู้ที่มี warning signs หรือ risk factors ให้ถามละเอียดขึ้น (แต่ยังคงน้ำเสียงไม่ตัดสิน) เช่น:

  • คนที่คุณคบ เคยบอกคุณว่าห้ามคุยกับใคร หรืออยากรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนตลอดเวลาหรือเปล่า?”
  • เคยทำให้คุณต้องมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ไม่อยากไหม?”
  • เคยขู่จะทำร้ายคุณ หรือตีของปาข้าวของเมื่อโกรธไหม?”
  • เขามีอาวุธไหม?”

ในบริบทอื่น

  • คนไข้ใช้สารเสพติด: ถามโยงกับความเครียด/ความสัมพันธ์
  • มี STI ซ้ำ: ถามเรื่องปฏิกิริยาของ partner, ความยากในการบอกข่าว, นึกถึง coercion หรือ sex work
  • หากสงสัย reproductive coercion: เสนอทางเลือกคุมกำเนิดแบบยากต่อการตรวจพบ/แทรกแซง (เช่น IUD, implant)

ท้ายสุด แม้คนไข้ไม่เปิดเผย ก็ยังควร:

  • ให้ข้อมูล resource
  • ใช้คำพูดที่ normalize ว่า “มันยากที่จะเล่าเรื่องแบบนี้” และเปิดช่องให้มาคุยทีหลัง

7.3 Universal provision of resources

ให้ข้อมูล/เบอร์/เว็บไซต์/แผ่นพับแก่ ทุกคน ไม่ว่าจะเปิดเผย ARA หรือไม่:

  • ถ้าเขาบอกว่า “ไม่เคยถูกทำร้าย”: ถามต่อว่า
    • ถ้าวันหนึ่งมีอะไรแบบนี้เกิดกับคุณหรือเพื่อน คุณพอจะรู้ไหมว่าจะไปขอความช่วยเหลือที่ไหน”
  • ย้ำว่า
    • ตอนนี้คุณอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดี หมอดีใจ แต่ความสัมพันธ์คนเราก็เปลี่ยนได้ ถ้าวันไหนคุณรู้สึกไม่ปลอดภัย อยากให้รู้ว่ามีที่ที่ช่วยคุณได้”

แนวคิดคือ สร้าง trust ระยะยาวคนไข้บางคนจะเปิดเผยเมื่อมาพบหลายครั้งแล้ว


8. การดูแลเมื่อมีการเปิดเผย ARA (Managing disclosures)

เมื่อผู้ป่วยบอกตรงๆ หรือสงสัยมาก:

1.       เชื่อและ validate

o   สิ่งที่คุณเจอไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ขอบคุณที่ไว้วางใจเล่าให้หมอฟัง”

o   หลีกเลี่ยงคำถามเชิงตำหนิ (“ทำไมไม่เลิก?”, “ทำไมไม่บอกใครตั้งแต่แรก?”)

2.       ยังคง patient-centered

o   ให้ความสำคัญกับ chief complaint ของเขา (pregnancy, STI, anxiety ฯลฯ) พร้อมกับประเด็น ARA

3.       อธิบายขอบเขตความลับและการรายงานตามกฎหมายอย่างซื่อสัตย์

o   บอกให้ชัดว่าอะไรที่อาจต้องรายงาน และรายงานให้ใครบ้าง

o   หลีกเลี่ยงสัญญาในสิ่งที่ทำไม่ได้ (“หมอจะไม่บอกใครเลย”)

4.       Safety planning

o   ถ้าเป็นไปได้ consult victim advocate / social worker / mental health อย่าง real-time

o   พยายามเชื่อมต่อผู้ป่วยกับบริการเหล่านั้นโดยตรง (ไม่ใช่แค่ให้เบอร์)

o   ใช้โทรศัพท์/ช่องทางที่ปลอดภัย (ไม่ใช้เครื่องของผู้ป่วยหาก partner อาจติดตามได้)

5.       การติดตาม / ongoing care

o   หาวิธีแจ้งผลตรวจหรือ follow-up อย่างเป็นความลับ

o   เชื่อมต่อกับ mental health เพื่อประเมินและรักษาภาวะร่วม

o   ดูว่าผู้ป่วยเข้าถึง resource ด้านปัจจัยพื้นฐาน (อาหาร ที่พัก การศึกษา ทักษะอาชีพ) ได้หรือไม่


9. Prevention & Early Intervention Programs

9.1 กลยุทธ์ระดับประชากรทั่วไป (schools / community)

เป้าหมายหลัก:

  • เปลี่ยน/ท้าทาย gender norms ที่สนับสนุนความรุนแรงหรือ power imbalance
  • ส่งเสริม bystander behaviorให้เพื่อนรู้วิธีแทรกแซงเมื่อเห็นสถานการณ์เสี่ยง
  • เริ่มใน middle school (ช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์) ให้เร็วก่อน internalize บทบาทเพศและพฤติกรรมรุนแรง

ตัวอย่าง intervention ที่มีหลักฐานสนับสนุน:

  • Dating Matters – multicomponent school-based program ลด teen dating violence และ negative conflict resolution
  • Green Dot – bystander intervention ลด sexual violence, harassment, stalking และ dating violence
  • Coaching Boys Into Men – coach ของทีมกีฬาเป็นคนสอนเรื่องความสัมพันธ์ที่เคารพกัน เพิ่ม positive bystander behavior และลด perpetration

9.2 กลยุทธ์สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง

  • เยาวชนที่มีประวัติ trauma/violence ใช้ cognitive-behavioral interventions, parent support programs
  • โปรแกรมอย่าง Date SMART, Expect Respect Support Group, และโปรแกรมเสริมทักษะด้าน resilience ต่างๆ แสดงผลลด dating violence, ลด depression, ลด alcohol use ในบางกลุ่ม
  • Mobile / app-based tools (เช่น myPlan, myPlan Teen) ช่วยด้าน safety planning, ลด perpetration และปรับปรุงการตัดสินใจของผู้ช่วย/เพื่อน

10. Key clinical takeaways สำหรับแพทย์

1.       คิดถึง ARA เสมอในวัยรุ่นที่มาด้วย:

o   อาการทางกายซ้ำๆ ไม่จำเพาะ

o   Depression, suicidality, substance use

o   ปัญหา sexual health (STI ซ้ำๆ, emergency contraception บ่อย, unintended pregnancy)

2.       ทำ universal education + universal inquiry

o   พูดเรื่อง healthy/unhealthy relationships กับทุกคน

o   ใช้คำถามแบบเปิด ไม่ตัดสิน ปรับตามบริบทของคนไข้แต่ละราย

3.       ใช้ trauma-sensitive, healing-centered approach

o   เคารพ autonomy ของผู้ป่วย

o   อธิบายขั้นตอนตรวจ, ให้สิทธิในการปฏิเสธ, ป้องกัน retraumatization

4.       เตรียม network / resource ไว้ล่วงหน้า

o   รายชื่อองค์กรท้องถิ่น: DV agencies, rape crisis centers, social worker, mental health, child protection, legal aid, shelter, ฯลฯ

o   มีสื่อ/เบอร์/เว็บไซต์พร้อมแจกในห้องตรวจ

5.       จำไว้ว่าการเปิดเผยไม่ใช่ “เป้าหมายเดียว”

o   การให้ข้อมูล สนับสนุน และเปิดพื้นที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง สามารถลดอันตรายและช่วยให้ผู้ป่วยพร้อมเมื่อถึงเวลาที่เขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจริงๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น