วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Caffeine

Caffeine


1. ภาพรวมสำคัญสำหรับการให้คำแนะนำ

  • Caffeine เป็น stimulant ที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก
  • ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่บริโภคทุกวัน และส่วนสำคัญมาจาก coffee / tea / soft drink / energy drink / supplement
  • หลักฐานส่วนใหญ่เป็น observational studies บอกได้เพียง “association” ไม่ใช่ “causation”
  • โดยรวม ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะนำให้ดื่ม หรือห้ามดื่ม เพียงเพื่อหวังผลด้านสุขภาพ
  • ผลของ caffeine ขึ้นกับ dose, พันธุกรรม (CYP1A2), อายุ, เพศ, ยาร่วม, โรคร่วม

ระดับที่ถือว่าปลอดภัยโดยทั่วไป

  • ผู้ใหญ่ปกติ: 400 mg/day (ประมาณกาแฟชงทั่วไป 3–4 แก้ว ขึ้นกับปริมาณต่อแก้ว)
  • เด็ก/วัยรุ่น: ข้อมูลจำกัด แต่ review ชี้ว่า 2.5 mg/kg/day ยังไม่พบผลไม่พึงประสงค์ชัดเจน
  • ระวังเป็นพิเศษใน: ตั้งครรภ์, โรคหัวใจบางชนิด, anxiety disorder, insomnia, ผู้ใช้ยา interaction สูง

2. แหล่งของ Caffeine ที่พบบ่อย

  • Coffeeแหล่งหลักในผู้ใหญ่
    • เฉลี่ย ~80–140 mg/แก้ว แต่ต่างกันมากตามชนิดและวิธีชง
    • มักบริโภคร่วมกับน้ำตาล/ครีม ซึ่งอาจลบประโยชน์ด้าน metabolism ได้
  • Tea – black / green / oolong
    • caffeine ต่ำกว่ากาแฟต่อปริมาตร แต่ปริมาณหลายแก้ว/วันได้ง่าย
    • มีสาร polyphenols, catechins ซึ่งอาจมีผล protective บางชนิด
  • Soft drink / Energy drink / Energy shot
    • เด็กและวัยรุ่นมักได้ caffeine จากกลุ่มนี้
    • Energy drink/shot บางชนิดมี caffeine 200–500 mg/กระป๋อง เสี่ยง toxic เมื่อดื่มหลายกระป๋อง/วัน
  • OTC drug / dietary supplement / pre-workout / weight loss product
    • มักมี caffeine ผสมในปริมาณสูง ไม่แจ้งชัดเจน ผู้ป่วยมักไม่รายงาน

3. Pharmacology / Metabolism โดยสังเขป

  • ดูดซึมเร็วจาก GI tract
  • metabolized โดย CYP1A2 polymorphism ทำให้บางคนเป็น “slow metabolizer” (ใจสั่นง่าย, นอนไม่หลับ)
  • Adenosine receptor antagonist เพิ่มการหลั่ง excitatory neurotransmitters
  • นอกจาก caffeine ยังมีองค์ประกอบอื่น เช่น
    • Chlorogenic acid, polyphenols antioxidant, epigenetic effect
    • Diterpenoids ใน unfiltered coffee เพิ่ม LDL, ลด HDL
    • สารที่กระตุ้น sympathetic system เพิ่ม BP ชั่วคราวโดยเฉพาะใน non-habitual drinker

4. Drug–Caffeine Interaction ที่แพทย์ควรระวัง

  • ยาที่ควร หลีกเลี่ยง caffeine เด็ดขาด:
    • acebrophylline, doxofylline, stiripentol
  • ยาที่มี moderate interactionควรจำกัด caffeine และ monitor อาการ
    • atomoxetine, bupropion, ciprofloxacin, clozapine, linezolid, lithium, tizanidine ฯลฯ
  • Coffee ลดการดูดซึมของ:
    • Alendronate, iron แนะนำเว้นช่วงเวลาอย่างน้อย 30–60 นาที

5. Neuro / Cognitive / Psychiatric

5.1 Cognitive / alertness

  • ขนาดต่ำ–ปานกลาง (~30–300 mg)
    • เพิ่ม vigilance, reaction time, attention โดยเฉพาะในภาวะเหนื่อย/อดนอน/ทำงานกะดึก
  • มีประโยชน์ในผู้ที่ต้องทำงานใช้สมาธินาน ๆ หรือ shift worker

5.2 Headache

  • ใช้เป็นส่วนผสมใน analgesic combination รักษา tension / migraine headache
  • ช่วยเพิ่ม efficacy ของ aspirin / acetaminophen / ibuprofen
  • แต่ daily use มีความสัมพันธ์กับ chronic migraine / medication overuse headache
  • Caffeine withdrawal headache เป็นอาการเด่น

5.3 Parkinson / Alzheimer

  • Coffee/tea consumption (โดยเฉพาะ unsweetened caffeinated coffee) สัมพันธ์กับ risk ต่ำลงของ Parkinson และ Alzheimer (RR/HR ~0.7)
  • กลไกยังไม่ชัดเจน
  • ในหญิงใช้ postmenopausal hormone therapy อาจกลับมี risk Parkinson สูงขึ้นเมื่อดื่ม coffee มาก สะท้อน interaction ด้าน hormone

5.4 Psychiatric

  • Acute high dose: anxiety, insomnia, irritability, panic attack โดยเฉพาะคนที่มี anxiety disorder เดิม
  • Observational data บางชุดพบ heavy use (>5 cups/day) สัมพันธ์กับ psychiatric disorder มากขึ้น แต่เมื่อลด confounding แล้ว ความสัมพันธ์อ่อนลง
  • ใน cohort ใหญ่ของผู้หญิง: caffeinated coffee 2–4+ แก้ว/วัน risk depression ลดลงเล็กน้อย, decaf ไม่มีผล

6. Metabolic / Endocrine

6.1 Insulin resistance และ glucose metabolism

  • Short-term trials: caffeine bolus ลด insulin sensitivity, impaired glucose tolerance
  • Long-term observational: coffee/tea intake สูง lower risk type 2 diabetes, improved insulin sensitivity
  • Proposed mechanisms:
    • เพิ่ม adiponectin
    • เพิ่ม sex hormone binding globulin (SHBG)
    • กระตุ้น AMPK และ insulin-independent glucose transport ใน skeletal muscle
    • IGF-1 signaling modulation

6.2 Type 2 diabetes mellitus

  • มี dose–response inverse association กับการเกิด T2DM ทั้ง caffeinated และ decaffeinated coffee และ tea
  • น่าจะมาจาก polyphenols/องค์ประกอบอื่นมากกว่า caffeine เพียงอย่างเดียว

7. Gastrointestinal / Hepatic / Cancer

7.1 GI motility

  • Coffee ลด constipation เล็กน้อยใน observational data (โดยเฉพาะในหญิง)
  • Tea บางชนิด (จีน/ญี่ปุ่น) กลับสัมพันธ์กับ constipation สูงขึ้น สะท้อนว่าองค์ประกอบอื่นมีผลร่วม

7.2 Liver

  • Coffee consumption สัมพันธ์กับ ลด risk cirrhosis, HCC, และลด progression ของ chronic hepatitis C
  • มักมองว่าเป็นปัจจัยป้องกันหนึ่งในผู้มี chronic liver disease (ถ้าไม่มีข้อห้ามอื่น)

7.3 Cancer (ภาพรวม)

  • รวม ๆ แล้ว ไม่พบว่า coffee/tea เพิ่ม overall cancer risk อย่างชัดเจน
  • Acrylamide ใน roasted coffee มี dose ต่ำกว่าที่จะแสดงผลชัดในคนตามข้อมูลปัจจุบัน
  • บางมะเร็งมีแนวโน้ม protective effect:
    • Hepatocellular carcinoma, oropharyngeal cancer, prostate cancer, endometrial cancerพบ association กับ risk ลดลงในหลาย meta-analysis
  • มะเร็งที่ข้อมูลยังไม่แน่นอน/อาจมี confounding สูง:
    • Lung cancer – coffee caffeinated มี association กับ risk สูงขึ้น แต่เมื่อควบคุมการสูบบุหรี่แล้ว ความสัมพันธ์อ่อนลงมาก
    • Bladder cancerเคยพบ risk เพิ่มเล็กน้อย แต่ไม่สัมพันธ์กับ dose และ confounded ด้วย smoking
    • Breast, colorectal, ovarianผลขัดแย้งกันระหว่าง studies

8. Bone / Joint / Urinary

8.1 Osteoporosis / Fracture

  • High coffee intake (4–5 cups/day) อาจสัมพันธ์กับ ลด bone mineral density และ fracture risk สูงขึ้นเล็กน้อยในผู้หญิง โดยเฉพาะ:
    • Calcium intake ต่ำ
    • ผู้หญิงผอม/สูงวัย
  • ถ้า calcium intake 800 mg/day ผลเสียต่อ BMD ดูจะน้อยลงมาก
  • Tea มีข้อมูลว่าช่วยเพิ่ม BMD แต่ยังไม่ชัดว่าลด fracture ได้จริง

8.2 Gout

  • Coffee ทั้ง caffeinated และ decaf สัมพันธ์กับ serum uric acid ต่ำลง และ gout incidence ลดลง (dose–response)
  • Tea ไม่พบผลแบบเดียวกัน

8.3 Urinary

  • เพิ่ม urinary frequency และ urgency; การลด caffeine สามารถลด urgency/frequency ได้ในบางราย
  • Caffeine intake สูง อาจสัมพันธ์กับ urgency incontinence (แต่ไม่ชัดกับ stress/mixed incontinence)

9. Performance enhancement / Sports

  • มีหลักฐานชัดเจนว่า caffeine เพิ่มสมรรถภาพการออกกำลังกาย ทั้งใน:
    • endurance events
    • high-intensity short-duration
    • stop-and-go sports
  • Dose ที่ใช้มัก ~3–6 mg/kg ก่อนออกกำลังกาย 30–60 นาที
  • แต่ควรคำนึงถึง: HR, BP, arrhythmia risk, insomnia หลังการแข่ง

10. Mortality และ Cardiovascular risk

10.1 All-cause mortality

  • หลาย cohort study และ meta-analysis:
    • Coffee 2–4 ถ้วย/วัน ลด all-cause mortality ~10–20%
    • Green/black tea 2+ ถ้วย/วัน ลด risk เล็กน้อยเช่นกัน
  • Pattern เป็น J-shaped: ปริมาณปานกลางดูดีที่สุด
  • Very high intake (>28 cups/week) ในคนอายุน้อยบางกลุ่ม อาจสัมพันธ์กับ mortality สูงขึ้น

10.2 Cardiovascular

  • หัวข้อ detail แยกในบทความอื่น แต่ภาพรวม:
    • Moderate coffee intake มัก ไม่เพิ่ม CV mortality และอาจ protective
    • ผลขึ้นกับ genotype (CYP1A2), smoking, BP control, metabolic profile

11. Dependence, Misuse, Withdrawal

11.1 Adverse effects จาก high dose

  • Palpitation, tremor, agitation, GI upset, anxiety, insomnia
  • High-dose (โดยเฉพาะจาก energy drink/supplement) arrhythmia, seizure, ischemia มีรายงาน case

11.2 Caffeine use disorder / dependence

  • ใน DSM-5 อยู่ในหมวด “condition for further study”
  • พฤติกรรมที่เข้าเกณฑ์ dependence ยังไม่ชัดเท่าสารเสพติดอื่น
  • แต่พบว่าคนที่ดื่มมากสัมพันธ์กับ:
    • smoking สูงขึ้น
    • alcohol use disorder มากขึ้น
    • substance use / gambling / internet addiction ในวัยรุ่นบางกลุ่ม

11.3 Withdrawal

  • เกิดได้แม้หยุดจาก dose ~100 mg/day
  • อาการหลัก (เริ่ม 12–24 ชม. หลังหยุด, peak 1–2 วัน, นานถึง 7–9 วันได้):
    • headache, fatigue, sleepiness, impaired concentration, depressed mood, irritability
  • การลดทีละน้อยใน 5–7 วันก่อนจำเป็นต้องงด (เช่น ก่อนผ่าตัดหรือการตรวจบางชนิด) ช่วยลด withdrawal

Practical points สำหรับแพทย์เวลา consult คนไข้

1.       ผู้ใหญ่สุขภาพดีทั่วไป

o   ดื่ม coffee/tea ปกติ 400 mg caffeine/day ถือว่ายอมรับได้

o   แนะนำหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงเย็น/ก่อนนอนในคนที่นอนไม่หลับ

2.       ผู้ป่วยเบาหวาน/เสี่ยงเบาหวาน

o   ไม่จำเป็นต้องงด coffee/tea; เครื่องดื่มไม่หวานอาจมี benefit ด้าน metabolic เล็กน้อย

o   เน้น “งดน้ำตาล/ครีมเทียม” สำคัญกว่าการงด caffeine เอง

3.       ผู้ป่วยโรคหัวใจ/ความดันสูง/arrhythmia

o   ถ้าอาการ palpitation หรือ BP control แย่ลงหลังดื่ม แนะนำลดปริมาณหรือหลีกเลี่ยง

o   หลีกเลี่ยง energy drink/high-dose caffeine supplement

4.       ผู้สูงอายุหญิง/osteoporosis

o   ถ้าดื่ม coffee มาก (4–5 cups/day) และ calcium intake ต่ำ แนะนำลดปริมาณ หรือเพิ่ม calcium + vitamin D

5.       ผู้ป่วย chronic liver disease / HCV / cirrhosis risk สูง

o   สามารถบอกผู้ป่วยว่า coffee ปริมาณปานกลาง อาจช่วยลด risk progression และ HCC ตาม observational data (ถ้าไม่มีข้อห้ามอื่น)

6.       วัยรุ่นและ young adult

o   เน้นเตือนเรื่อง energy drink, การผสมกับ alcohol, และพฤติกรรมเสี่ยงอื่นที่มักมาพร้อม caffeine high use

7.       ผู้ป่วยปวดหัวเรื้อรัง / migraine

o   ประเมินปริมาณ caffeine รายวัน ถ้าใช้ analgesic+caffeine หรือดื่ม coffee เยอะ อาจมีส่วนทำให้ medication overuse headache

o   วางแผน taper caffeine แทน abrupt cessation เพื่อลด withdrawal headache


Caffeine VS cardiovascular system


1. ภาพรวมสำคัญ

  • Caffeine เป็นสารออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ใช้แพร่หลายที่สุดในโลก
  • แหล่งสำคัญ:
    • Coffee / tea: ~100 mg ต่อ 1 serving
    • Cola: ~50 mg
    • Energy drink: ได้สูงถึง ~250 mg/serving หรือมากกว่า
  • การได้รับมัก “เรื้อรังและต่อเนื่อง” ในประชากรส่วนใหญ่ มีความสำคัญต่อ CVD risk ระยะยาว

โดยรวมจากข้อมูล observational ขนาดใหญ่:

การบริโภคกาแฟ/คาเฟอีนในปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลาง (5–6 แก้วกาแฟ/วัน หรือ ~400 mg/day) ไม่สัมพันธ์กับ CVD risk เพิ่มขึ้น และอาจสัมพันธ์กับ CVD/stroke ต่ำลงเล็กน้อย ในหลายการศึกษา


2. Pharmacokinetics / ปัจจัยที่มีผลต่อระดับยา

  • ดูดซึมเร็ว (oral bioavailability ~100%)
  • Tmax ประมาณ 1 ชม.
  • Half-life เฉลี่ย ~5 ชม. (ช่วง 2–12 ชม.)
    • เด็ก: สั้นกว่า (3–4 ชม.)
    • ไตรมาสท้ายของการตั้งครรภ์: half-life เพิ่มขึ้น ~2 เท่า
  • กระจายตัวทั่วร่างกาย, ข้าม placenta และผ่านน้ำนม
  • Metabolism หลักที่ตับผ่าน CYP1A2 paraxanthine และ metabolite อื่น
  • Inter-individual variation สูง คนที่เป็น “slow metabolizer” มีโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์/พิษมากกว่า

ประเด็นสำคัญทางคลินิก

  • ระดับ plasma caffeine สูงสุดมักช่วงบ่าย–เย็น (เพราะดื่มหลายครั้งระหว่างวัน)
  • หลังงดคาเฟอีน 8–12 ชม. (เช่น หลังนอน) ระดับจะลดลงมาก อ่อนไหวต่อ dose แรกของวัน
  • CYP1A2 genotype มีผลต่อ CVD risk จากกาแฟ:
    • Rapid metabolizer (CYP1A2*1A homozygous): ไม่พบความสัมพันธ์กาแฟกับ MI
    • Slow metabolizer (CYP1A2*1F): มี dose–response เพิ่ม MI risk เมื่อดื่มกาแฟมาก

3. กลไกต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

Caffeine เป็น methylxanthine (1,3,7-trimethylxanthine) มีผลต่อ hemodynamics และ electrophysiology โดย:

  • Inhibit phosphodiesterase เพิ่ม cAMP ใน myocardium positive inotropy
  • Adenosine receptor antagonism ต้าน negative inotropic effect ของ adenosine และมีส่วนใน pressor effect
  • เพิ่ม norepinephrine release จาก sympathetic nerve endings
  • เพิ่ม intracellular Ca²
    • high dose: ยับยั้ง calcium reuptake เข้า SR
    • low dose: กระตุ้น Ca² release จาก SR
  • เพิ่ม sensitivity ของ myofilament ต่อ Ca²

ผลรวม

  • เพิ่ม contractility, เพิ่ม sympathetic tone, vasoconstriction acute BP rise โดยเฉพาะใน non-habitual drinker
  • ระยะยาวมี tolerance บางส่วนจาก adenosine receptor upregulation

4. Arrhythmia และ AF

4.1 Atrial fibrillation (AF)

Incidence

  • Meta-analysis หลายงาน (รวม >100,000 คน) ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่าง caffeine intake กับ AF incidence (OR ~0.9–1.0)
  • บาง cohort (เช่น MESA) พบว่า 1 cup coffee/week มี AF incidence สูงขึ้นเล็กน้อย และกลุ่ม 6 cups/day มี incidence สูงสุด แต่มีข้อจำกัดเรื่อง confounder และ exposure measurement

Recurrence

  • ผู้ป่วยบางรายรายงานว่า caffeine กระตุ้นอาการ palpitation/AF
  • แต่ randomized open-label trial หลัง cardioversion AF/flutter:
    • กลุ่มดื่มกาแฟ (median ~7 cups/week) มีอัตรา recurrence ต่ำกว่า กลุ่มที่งดกาแฟ (47% vs 64%; HR ~0.6)
    • ยังไม่มีข้อมูลชัดในปริมาณสูงมาก

ข้อสรุปเชิงปฏิบัติ

  • ปริมาณ ปกติ–ปานกลาง (400 mg/day) ในคนทั่วไป ไม่เพิ่ม AF risk อย่างชัดเจน
  • ในคนไข้ที่รู้สึกว่า “ดื่มกาแฟแล้วใจสั่น/AF กำเริบ” แนะนำ ลดหรืองด รายบุคคล

4.2 Arrhythmias อื่น ๆ

  • ข้อมูลจาก RCT ขนาดเล็ก และ observational หลายชุดบ่งชี้ว่า:
    • ปริมาณที่ใช้กันทั่วไป (400 mg/day) ไม่เพิ่มจำนวน supraventricular/ventricular ectopy อย่างมีนัยสำคัญ
    • CRAVE trial (100 คน, healthy) coffee ไม่เพิ่ม atrial ectopy แต่ทำให้ PVC เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันที่ดื่ม
    • ในคนที่มี LV systolic dysfunction moderate–severe, single dose caffeine 500 mg ไม่ได้เพิ่ม ventricular arrhythmia ใน 7 ชม. monitoring
  • ใน EP lab: caffeine 5 mg/kg หรือ coffee 275 mg ไม่เพิ่ม inducibility ของ SVT/F atrial/ventricular arrhythmia อย่างชัดเจน

แต่

  • Case report มีรายงาน ventricular arrhythmia, malignant arrhythmia หลัง critical overdose (เช่น energy drink/เม็ด caffeine ปริมาณสูงมาก โดยมี underlying heart disease)

คำแนะนำ

  • ผู้ป่วย arrhythmia โดยทั่วไป:
    • อนุญาต caffeine ปริมาณพอเหมาะ ถ้าไม่ทำให้เกิดอาการ
    • หลีกเลี่ยง high dose / energy drink / supplement ที่ไม่แน่ชัดปริมาณ caffeine

5. Blood pressure, aortic stiffness และ diuresis

5.1 Blood pressure (BP)

Acute effect

  • ในคนที่ดื่มไม่บ่อย caffeine สามารถเพิ่ม BP ได้ ~5–10 mmHg
  • ใน hypertensive patients pressor response ชัดกว่า (~มากกว่า 1.5 เท่าเมื่อเทียบกับ normotensive)
  • สามารถเพิ่ม BP response ต่อ stress (เช่น ภาวะเครียดที่ทำงาน)
  • ใน habitual drinker acute BP effect ลดลงมาก หรือแทบไม่มี

Chronic effect

  • Meta-analysis หลายชุด:
    • บางชุดไม่พบผลชัดเจนต่อ BP และ hypertension incidence
    • บางชุดพบว่า coffee เพิ่ม SBP ~1–2 mmHg, DBP ~0.5 mmHg และ RR hypertension ขยับขึ้นเล็กน้อย (~1.07–1.09)
    • การหยุดกาแฟหรือเปลี่ยนเป็น decaf อาจลด BP เล็กน้อยในบางคน
  • Tea มัก ไม่มีผลต่อ BP อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว

Clinical takeaway

  • ในผู้ใหญ่ทั่วไป: coffee ปริมาณปานกลางไม่ค่อยมีผลทางคลินิกต่อ BP
  • ในผู้ป่วย hypertension control ไม่ดี หรือ high CV risk แนะนำ
    • สอบถามปริมาณ caffeine
    • พิจารณาให้ลองลด/งด 1–2 สัปดาห์ดูผลต่อ BP

5.2 Aortic stiffness

  • Single dose caffeine 200 mg เพิ่ม pulse wave velocity และ augmentation index เล็กน้อย
  • ผลนี้ เสริมกันกับการสูบบุหรี่ ทำให้ arterial stiffness สูงขึ้นมากในช่วงสั้น ๆ

5.3 Diuretic effect

  • Acute caffeine 250–300 mg (2–3 cups coffee) ในคนที่ ไม่ได้รับ caffeine มาหลายวัน diuresis เพิ่มขึ้นระยะสั้น
  • ใน habitual drinker tolerance ทำให้ diuretic effect ลดลงอย่างมาก
  • ปริมาณปกติในชีวิตประจำวันของ tea/coffee/soft drink ไม่ได้ทำให้ volume depletion อย่างมีนัยสำคัญ ในคนทั่วไป

6. Lipids

  • Filtered coffee:
    • ไม่พบผลเสียชัดเจนต่อ total cholesterol, LDL, HDL ใน cohort ขนาดใหญ่
  • Non-filtered coffee (เช่น ต้ม, boiled coffee, French press):
    • มี cafestol และ diterpenes อื่นซึ่งไม่ถูกกรองออก เพิ่ม total cholesterol ~18 mg/dL และ LDL ~15 mg/dL ใน 9 สัปดาห์
    • ดังนั้นถ้าคนไข้ dyslipidemia ดื่ม boiled coffee ปริมาณมาก ควรแนะนำเปลี่ยนเป็น filtered

7. CVD outcomes, stroke และ mortality

7.1 CVD incidence (MI, stroke, HF, CVD death)

  • Meta-analysis ~1.3 ล้านคน: ความสัมพันธ์ เป็นรูปโค้ง (nonlinear/J-shaped)
    • เทียบกับไม่ดื่มกาแฟ:
      • ~1.5 cups/day RR CVD ~0.89
      • ~3.5 cups/day RR CVD ~0.85 (lowest risk)
      • ~5 cups/day RR ใกล้ 0.95
  • โดยรวม: ปริมาณเล็กน้อย–ปานกลาง (1–4 cups/day) สัมพันธ์กับ CVD risk ต่ำลงเล็กน้อย

7.2 Stroke

หลาย cohort และ meta-analysis พบว่า:

  • Coffee 1–5 cups/day RR stroke ลดลงประมาณ 15–25% เทียบกับไม่ดื่ม
  • Tea (โดยเฉพาะ green tea) ลด risk ischemic และ hemorrhagic stroke เล็กน้อย
  • การดื่มทั้ง coffee และ tea 2–3 cups/day แต่ละชนิดร่วมกัน stroke risk ต่ำกว่าไม่ดื่มทั้งคู่

7.3 Mortality และ sudden cardiac arrest

  • การดื่ม coffee ปริมาณปานกลางสัมพันธ์กับ ลด all-cause และ CV mortality ในหลายประชากร
  • ในบาง cohort ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจน แสดงว่าอาจมี confounding จากพฤติกรรมสุขภาพอื่น
  • Sudden cardiac arrest:
    • consumption >10 cups coffee/day ในผู้ป่วย CAD มีความสัมพันธ์กับ risk SCA เพิ่มขึ้น
    • การได้รับ “caffeine บริสุทธิ์ปริมาณสูงมาก” (ผง/เม็ด) สามารถทำให้เกิดพิษรุนแรงหรือตายได้

ข้อสรุปเชิงปฏิบัติสำหรับแพทย์

1.       ผู้ใหญ่ทั่วไป/ไม่มีโรคหัวใจสำคัญ

o   สามารถดื่ม caffeine ได้ 400 mg/day (~3–4 แก้วกาแฟ) อย่างปลอดภัยโดยทั่วไป

o   ไม่จำเป็นต้องงด caffeine เพื่อป้องกัน CVD หรือ stroke ในผู้ใหญ่สุขภาพดี

2.       ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

o   ถ้า BP control ดี อนุญาตปริมาณปานกลางได้

o   ถ้า BP สูงมากหรือตรวจแล้ว spike หลังดื่มกาแฟ แนะนำลดปริมาณ/เปลี่ยนเป็น decaf และติดตาม BP

3.       ผู้ป่วย arrhythmia (AF, SVT, PVCs)

o   หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ว่า moderate caffeine ไม่เพิ่ม incidence arrhythmia

o   แต่ควรทำแบบ individualize: ถ้าคนไข้สังเกตได้ชัดว่าดื่มแล้วใจสั่น/AF กำเริบ แนะนำลด/งด

o   หลีกเลี่ยง energy drink และ caffeine supplement ปริมาณสูง โดยเฉพาะในผู้มี structural heart disease

4.       ผู้ป่วย dyslipidemia

o   ถามชนิดกาแฟ: ถ้าดื่ม boiled/unfiltered ปริมาณมาก แนะนำเปลี่ยนเป็น filtered เพื่อเลี่ยง LDL เพิ่มขึ้นจาก cafestol

5.       ผู้ป่วย CAD / high CV risk

o   ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่พบว่ากาแฟปริมาณปานกลางเพิ่ม MI หรือ CVD death

o   อาจให้ดื่มได้ในปริมาณเหมาะสม โดยเน้นไม่ดื่มพร้อมปัจจัยเสี่ยงอื่น (สูบบุหรี่, energy drink)

6.       ผู้ที่สงสัย caffeine-sensitive / slow metabolizer

o   มีอาการใจสั่น, นอนไม่หลับ, BP ขึ้น เด่นชัดแม้ดื่มปริมาณไม่มาก แนะนำลด dose, เลี่ยงดื่มช่วงบ่าย–เย็น


Caffeine VS Female reproductive system, Pregnancy, & Lactation


1. ภาพรวมสำคัญ

  • Caffeine เป็น สารออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ใช้มากที่สุดในโลก พบในกาแฟ ชา โคล่า chocolate เครื่องดื่มชูกำลัง ยาแก้หวัด/ปวดหัว/ลดน้ำหนัก ฯลฯ
  • ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ส่วนใหญ่ รับ caffeine เฉลี่ยราว 150–200 mg/day (ประมาณกาแฟ 1–2 แก้ว)
  • ในหญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ intake ลดลง แต่ยังมีสัดส่วนหนึ่งที่รับ >200–300 mg/day
  • หลักฐานโดยรวม (โดยเฉพาะ systematic review ปี 2017) ชี้ว่า

200–300 mg/day โดยทั่วไป “น่าจะปลอดภัย” และไม่สัมพันธ์กับ outcome รุนแรงชัดเจน

  • แต่มีบทความ narrative review ใหม่ ๆ ชี้โอกาสเสี่ยงแบบ dose-response แม้ที่ระดับปานกลาง จึงควรให้คำแนะนำแบบ “ระมัดระวัง”

ตัวเลขง่ายๆ ใช้คุยกับคนไข้ (ค่าประมาณ)

  • กาแฟชง/ดริป ~100 mg/แก้ว
  • ชา ~30–50 mg/แก้ว
  • เครื่องดื่มชูกำลัง 1 กระป๋อง บางยี่ห้อ 80–250 mg

2. Pharmacokinetics และ maternal–fetal kinetics

  • ดูดซึมเร็ว, peak plasma ~30–120 นาที, half-life ปกติ ~5 ชม.
  • Metabolism หลักที่ตับ โดย CYP1A2 (~95%) paraxanthine, theophylline, theobromine
  • ปัจจัยที่มีผลต่อ clearance: genetics (fast/slow metabolizer), smoking, ยาอื่นที่ใช้ CYP1A2

ในหญิงตั้งครรภ์

  • Maternal metabolism ช้าลงมาก โดยเฉพาะ ไตรมาส 3 t½ ~11–18 ชม.
  • Caffeine ข้าม placenta ได้ดี พบใน amniotic fluid และ fetal blood
  • Fetus ไม่มี CYP1A2 แทบไม่ metabolize caffeine เกิดการสะสมในทารก แม้แม่กินไม่มาก
  • ทารกของมารดาที่สูบบุหรี่มี metabolite มากขึ้น (metabolism เร็วขึ้น)

3. คุณภาพหลักฐานและปัญหาทาง methodology

เวลาตีความงานวิจัยเรื่อง caffeine กับ reproductive outcome ต้องระวัง:

  • การประเมินปริมาณ caffeine ไม่แม่น
    • ปริมาณในกาแฟ/ชา/espresso แปรผันมาก, serving size ต่างกัน
    • หลายงานนับแต่กาแฟ ไม่รวมชา/โคล่า/ยาที่มี caffeine
  • Recall biasโดยเฉพาะงาน case–control ที่ถาม consumption หลังแท้ง คนไข้ที่มี adverse outcome มัก “จำ/โทษกาแฟ” มากกว่ากลุ่ม control
  • Confounders ที่ control ได้ไม่ดี
    • อายุ, smoking, แอลกอฮอล์, diet, socioeconomic status, stress, sleep, “สุขภาพรวม”
    • Pregnancy nausea: การแพ้ท้องสัมพันธ์กับ pregnancy ที่ viable และมักทำให้คนไข้กินกาแฟลดลง ถ้าไม่ปรับปัจจัยนี้ จะดูเหมือนว่า “กินกาแฟมาก = แท้งมาก” ทั้งที่อาจเป็นผลจาก pregnancy signal
  • การวัดจาก self-report มากกว่าชีวเคมี (caffeine/paraxanthine level)

4. ผลต่อ fertility

4.1 หญิง (fecundability / IVF)

  • เมื่อปรับอายุ smoking แอลกอฮอล์ และ lifestyle อื่น ๆ แล้ว

หลักฐานส่วนใหญ่ ไม่พบผลเสียชัดเจนของ caffeine ต่อ fecundability ใน level ปกติ

  • งานเก่าบางชิ้นเคยพบว่าการดื่ม coffee/tea/cola วันละ 1–2 serving ทำให้ fecundability ลดลง แต่หลายงาน prospective ที่ดีขึ้น ไม่ยืนยันผลดังกล่าว
  • IVF:
    • Intake ปัจจุบันรอบทำ IVF โดยมาก ไม่สัมพันธ์ กับ pregnancy rate
    • แต่มีงานเล็ก ๆ ที่พบว่า lifetime high caffeine และการดื่ม coffee/tea มาก อาจสัมพันธ์กับจำนวน oocytes/ good-quality embryos ลดลง

ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติ

  • หญิงที่ “มีปัญหามีบุตรยาก” หรืออยู่ระหว่าง IVF/ICSI:
    • แนะนำ จำกัด caffeine <200–300 mg/day (กาแฟ 1–2 แก้ว/วัน)
    • พร้อมกับงดบุหรี่ ลดแอลกอฮอล์ และปรับ lifestyle อื่น ๆ

4.2 ชาย

  • ผลต่อ semen parameter ค่อนข้างไม่ชัด ส่วนมากไม่พบความเปลี่ยนแปลงมาก
  • แต่บาง cohort/ systematic review ในคู่ subfertile พบว่า
    • ชายที่ทาน caffeine สูง อาจมี live birth rate หลัง ART (เช่น IVF/ICSI) ต่ำลง แม้ semen analysis ไม่แย่ลงชัด
  • ข้อมูลยังไม่ definitive แต่ “high intake” ของฝ่ายชายอาจมีผลไม่ดีต่อโอกาสสำเร็จของ ART

ข้อแนะนำ

  • ในคู่ subfertile หรือจะทำ ART:
    • แนะนำให้ทั้งคู่รับ caffeine อย่างพอเหมาะ (เช่น <200–300 mg/day)

5. Pregnancy loss (miscarriage)

  • หลักฐาน ขัดแย้ง และมี bias สูง
  • Systematic review 2011 (ทั้ง human + animal) สรุปว่า:
    • การบริโภค 5–6 mg/kg/day (ประมาณ 3–4 แก้วกาแฟต่อวันในหญิง 60–70 kg) ไม่น่าจะเพิ่ม risk แท้ง อย่างมีนัยสำคัญ
  • งาน observational หลายชิ้นพบ dose–response:
    • Risk miscarriage เพิ่มชัดเมื่อ intake 300 mg/day (หรือ 3 cups/day)
    • งานที่ใช้ serum paraxanthine (objective) พบ risk เพิ่มตั้งแต่ ~600 mg/day
  • แต่มีงานใหม่บางชิ้น/รีวิว 2020 ที่ claim ว่า risk เพิ่มตั้งแต่ ~100–200 mg/day เป็นต้นไป

ข้อสังเกตสำคัญ

  • ถ้า control nausea/pregnancy signal และ confounders ดี association มัก อ่อนลงหรือหายไป
  • งานบางชิ้นที่ถาม intake หลังแท้ง จะ overestimate risk จาก recall bias

สรุปสำหรับ counseling

  • หลักฐานคุณภาพสูงยังไม่ยืนยันชัดว่า caffeine ระดับปานกลางทำให้แท้งเพิ่ม
  • แต่เพื่อปลอดภัย แนะนำ:
    • หญิงที่ตั้งใจตั้งครรภ์/ตั้งครรภ์ระยะแรก ควรจำกัด caffeine 200 mg/day
    • หลีกเลี่ยงการดื่มมากกว่า 3 แก้วกาแฟ/วันอย่างชัดเจน

6. Fetal outcomes

6.1 Congenital anomalies

  • Overall data:

caffeine ในระดับคนทั่วไป (รวม ๆ <5 mg/kg/day) ไม่น่าจะเพิ่มความเสี่ยงพิการแต่กำเนิดอย่างมีนัยสำคัญ

  • แม้มีบาง study big (National Birth Defects Study) ที่พบ OR สูงในบาง defect แต่:
    • ไม่มี dose–response ชัด
    • ความเสี่ยงคล้ายกันทุกระดับ intake
    • ผิดหลัก teratology พื้นฐาน น่าเป็นผลของ bias/ confounding มากกว่า

6.2 Low birth weight / fetal growth

  • Meta-analysis 2 ชิ้น: caffeine ขณะตั้งครรภ์สัมพันธ์กับ low birth weight แบบ dose–response
    • ทุก 100 mg/day เพิ่ม risk low birth weight ~3–13%
  • แต่ randomized trial เปลี่ยน caffeinated decaf (ลด ~200 mg/day หลัง 20 wks) ไม่พบความต่างของ birth weight หรือ GA อย่างมีนัยสำคัญ
  • จึงตีความว่า:
    • intake สูงมากต่อเนื่อง อาจสัมพันธ์กับ fetal growth restriction
    • intake ระดับ 200–300 mg/day น่าจะปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็อาจลดน้ำหนักทารกเล็กน้อย (ระดับไม่ถึง 2500 g) ซึ่ง clinical significance ยังไม่ชัด

6.3 Preterm birth / fetal death

  • Meta-analysis ไม่พบความสัมพันธ์ชัดระหว่าง caffeine กับ preterm delivery <37 wks ทั้ง “any vs none” หรือ “high vs low”
  • Fetal death / stillbirth: หลักฐานน้อย, เสี่ยง marginal, bias สูง ยังสรุปไม่ได้ชัดเจน

6.4 Fetal physiology

  • Caffeine ข้าม placenta พบ:
    • fetal arousal เพิ่มขึ้น
    • HR variability เพิ่ม, HR basal ลดลงเล็กน้อย
    • fetal breathing activity เพิ่ม (อาจเกี่ยวกับ theobromine)
  • โดยทั่วไปเป็นผลชั่วคราว ไม่พบพิการเฉพาะระบบจากระดับ intake ปกติ

7. Maternal outcomes ในการตั้งครรภ์

7.1 Gestational diabetes mellitus (GDM)

  • หลาย cohort พบว่า moderate coffee intake ก่อน/ขณะตั้งครรภ์อาจสัมพันธ์กับ ลด risk GDM
  • แม้ experimental studies บางงานพบว่า caffeine ลด insulin sensitivity แบบเฉียบพลัน แต่ effect สุทธิใน real-world น่าจะเล็กและมี tolerance

7.2 Gestational hypertension / preeclampsia

  • Cohort เนเธอร์แลนด์:
    • caffeine สูงสัมพันธ์กับ SBP สูงขึ้นเล็กน้อย ในไตรมาส 1 และ 3
    • แต่ไม่ได้เพิ่ม preeclampsia, บางข้อมูลอาจ protective ด้วยซ้ำ
  • โดยรวมยังไม่มีหลักฐานว่าควรงด caffeine เพื่อป้องกัน preeclampsia โดยเฉพาะ แต่ระวังในคนที่ BP คุมยาก

7.3 Postpartum depression

  • ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่าง caffeine ขณะตั้งครรภ์กับ postpartum depression

8. ผลต่อเด็กระยะยาว

  • Neonatal withdrawalพบเฉพาะในแม่ที่บริโภค caffeine สูงมาก (6 drinks/day) ทารก irritability, jittery, vomiting ในช่วง 2–3 วันแรก แล้วหายเอง
  • IQ และปัญหาพฤติกรรม (ทั่วไป)งานใหญ่ที่ใช้ paraxanthine ไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับ IQ หรือ behavior ปกติที่อายุ 4–7 ปี
  • พฤติกรรม overactive/psychiatricผลขัดแย้ง
    • บาง cohort (อาหาร soft drink) พบ hyperactivity สูงขึ้น
    • Danish cohort ใหญ่พบว่ามารดาที่ดื่มกาแฟ/ชาวันละ 8 cups ที่ 15 wks มี risk hyperactivity/anxiety disorder ในลูกเพิ่ม
    • แต่ confounders เช่น maternal anxiety เองยัง control ไม่ดี
  • การเจริญเติบโต/น้ำหนักเด็ก
    • บาง cohort ใหญ่พบว่า maternal caffeine สูง (200–300 mg/day) ลูกมี excess weight gain และ overweight ในวัยเด็ก (3–8 ปี) แบบ dose–response
    • บางงานไม่พบผลต่อ BMI/fat mass
    • หลายงานรายงานเด็กส่วนสูงเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย (0.7–2.2 ซม. ที่ 4–8 ปี) ตามระดับ caffeine แม่

โดยรวม:

มีสัญญาณว่า “high maternal caffeine” อาจมีผลต่อ programming ด้าน growth/น้ำหนักระยะยาว แต่หลักฐานยังไม่เป็นเอกฉันท์ สนับสนุนแนวทาง “ไม่ควรเกิน moderate intake”


9. Lactation (การให้นมบุตร)

  • Caffeine เข้าน้ำนมได้ใน 15 นาที และ peak ~1 ชม.
  • แม่ดื่ม 3–5 cups coffee/day ปริมาณที่ลูกได้รับรวมทั้งวัน ต่ำมาก (<2 mg/24 ชม.)
  • ทารก term ส่วนใหญ่ทนได้ดี
  • มี case report ว่าแม่ที่ดื่ม caffeine สูงมาก อาจทำให้เด็ก irritability, jittery, นอนยาก
  • Cohort ใหญ่หนึ่งพบว่า แม่ที่ดื่ม 300 mg/day ทั้งตั้งครรภ์และช่วงให้นม มีอัตราเด็กตื่นกลางคืนบ่อยสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ชัดเจนทางสถิติ

คำแนะนำทางปฏิบัติ

  • ให้นมได้ตามปกติในแม่ที่ดื่ม caffeine ระดับปานกลาง (~200–300 mg/day)
  • ถ้าเด็กมีอาการ irritability / sleep disturbance และแม่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเยอะ ลอง ลด caffeine (โดยเฉพาะช่วงบ่าย–เย็น)

10. Practical counseling point สำหรับคลินิก

10.1 หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ / มีปัญหามีบุตรยาก

  • แนะนำ ลด caffeine <200 mg/day (กาแฟ 1 แก้ว หรือเทียบเท่า)
  • เน้นปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่า: อายุ, BMI, smoking, alcohol, sleep, stress

10.2 หญิงตั้งครรภ์ (โดยเฉพาะไตรมาสแรก)

แนวทางที่ “ปลอดภัยและสมเหตุสมผล” ที่สุดตอนนี้:

  • ควรจำกัด caffeine ไม่เกิน 200 mg/day
    • ประมาณ: กาแฟชง 1 แก้ว + ชา 1 แก้ว หรือกาแฟ 2 แก้วเล็ก
  • เลี่ยงการดื่มมากกว่า 3 แก้วกาแฟ/วัน หรือ energy drink/high-caffeine supplements
  • ถ้ามี HT, IUGR, FGR, หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น พิจารณาลดให้ต่ำกว่านี้ หรือหยุดชั่วคราว

10.3 หญิงให้นมบุตร

  • สามารถดื่ม caffeine ระดับปานกลาง ได้
  • ถ้าเด็กมีปัญหานอนยาก/กระสับกระส่าย แนะนำลดปริมาณหรือเลี่ยงดื่มช่วงเย็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น