วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Acute phase reactants (CRP, ESR, procalcitonin)

 Acute Phase Reactants (APR)

1. Acute Phase Reactants (APR): พื้นฐานและการควบคุม

  • นิยาม: การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ชีวเคมี และพฤติกรรมในภาวะอักเสบ ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง
  • ตัวกระตุ้นหลัก: Cytokines โดยเฉพาะ IL-6 และร่วมกับ IL-1β, TNF-α, IFN-γ
  • Positive APR: CRP, Serum Amyloid A (SAA), Fibrinogen, Haptoglobin, α1-antitrypsin, Ferritin, Procalcitonin
  • Negative APR: Albumin, Transferrin, Transthyretin, Vitamin D (25[OH]D)
  • การเปลี่ยนแปลงอื่น:
    • Iron, Zinc hepcidin ลดการดูดซึมและการปลดปล่อย iron
    • Copper จาก ceruloplasmin ที่เป็น positive APR

2. การตอบสนองและบทบาทของ APR

  • CRP:
    • ทำหน้าที่ pattern recognition molecule (pentraxin family)
    • จับกับ phosphocholine ช่วยกำจัดเชื้อโรคและเซลล์ที่ตาย กระตุ้น complement, Fc receptor-mediated phagocytosis
    • มีทั้ง proinflammatory และ anti-inflammatory effects
  • SAA: เชื่อมโยงกับ HDL, เพิ่ม chemotaxis ของเม็ดเลือดขาว แต่การเพิ่มเรื้อรัง AA amyloidosis
  • Haptoglobin/Hemopexin: กำจัด free Hb/Heme ต้าน oxidative stress
  • α1-antitrypsin, α1-antichymotrypsin: ต้าน protease ลด tissue injury
  • Hepcidin: ลด iron absorption และ iron release จาก macrophages anemia of chronic disease
  • Fibrinogen: ช่วย wound healing และ angiogenesis
  • Ferritin: กักเก็บ iron จำกัดการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

3.1 ESR (Erythrocyte Sedimentation Rate)

  • กลไก: ขึ้นกับ fibrinogen และ plasma proteins rouleaux formation เม็ดเลือดตกเร็วขึ้น
  • ค่าที่สูง: infection, malignancy, inflammation, tissue injury, monoclonal proteins
  • ปัจจัยที่เพิ่ม ESR โดยไม่เกี่ยวกับ inflammation:
    • อายุ, เพศหญิง, anemia, pregnancy, kidney disease, obesity, smoking
  • ปัจจัยที่ลด ESR:
    • RBC abnormalities (sickle cell, microcytosis, polycythemia), HF, hypofibrinogenemia, ยากดการอักเสบ (glucocorticoids, IL-6 inhibitors), การออกกำลังกาย, alcohol

3.2 CRP

  • เปลี่ยนแปลงเร็วกว่า ESR เหมาะสำหรับติดตามภาวะเฉียบพลัน
  • ค่าอ้างอิงทั่วไป:
    • < 3 mg/L ปกติ
    • 3–10 mg/L low-grade inflammation (metabolic stress, obesity, metabolic syndrome)
    • 10 mg/L significant inflammation ต้องค้นหาสาเหตุ
    • 100 mg/L bacterial infection มักเป็นสาเหตุหลัก

3.3 hs-CRP

  • ใช้ใน cardiovascular risk stratification:
    • <1 mg/L ความเสี่ยงต่ำ
    • 1–3 mg/L ความเสี่ยงปานกลาง
    • 3 mg/L ความเสี่ยงสูงต่อ ASCVD

3.4 Procalcitonin

  • ขึ้นใน bacterial infection specificity สูงกว่า CRP บางกรณี
  • อาจช่วยแยก infection จาก autoimmune flare

3.5 Serum Amyloid A (SAA)

  • เพิ่มคู่ขนานกับ CRP แต่ assay ไม่ใช้ทั่วไป

4. ความแตกต่างระหว่าง ESR และ CRP

  • CRP: ขึ้น-ลงเร็ว บ่งบอกภาวะเฉียบพลัน
  • ESR: ขึ้น-ลงช้า บ่งบอกภาวะเรื้อรัง หรือ inflammatory burden
  • SLE ESR มักสูงกว่า CRP
  • Infection CRP สูงเด่นชัดกว่า ESR

5. การประยุกต์ใช้ทางคลินิก

  • ติดตามโรคอักเสบ: Rheumatoid arthritis, Polymyalgia rheumatica, Giant cell arteritis
  • แยก infection vs autoimmune flare: โดยใช้ CRP/Procalcitonin ร่วมกับ clinical context
  • ติดตาม response การรักษา: Osteomyelitis, Chronic infection
  • พยากรณ์โรค: Elevated APR พยากรณ์โรคแย่ใน DM, CKD, CVD, elderly

Key Points สำหรับแพทย์

1.       APR เป็น ตัวชี้วัดการอักเสบ แต่ไม่จำเพาะต่อโรค ต้องตีความร่วมกับอาการและผลตรวจอื่น

2.       CRP >100 mg/L bacterial infection เป็นสาเหตุหลักจนกว่าจะพิสูจน์เป็นอย่างอื่น

3.       ESR + CRP ร่วมกัน ช่วยแยก acute vs chronic inflammation และติดตามการรักษา

4.       Procalcitonin มีประโยชน์ในการแยก bacterial infection ในผู้ป่วย autoimmune

5.       Low-grade inflammation (CRP 3–10 mg/L) สัมพันธ์กับ metabolic syndrome, CVD risk, และ aging


Lab: CRP & ESR

C-Reactive Protein (CRP)

1. ประเภทของ CRP Assay

  • Standard CRP assay
    • วัดได้ > 3–5 mg/L  ไวต่อการอักเสบแต่ไม่จำเพาะโรค
    • ใช้ในภาวะติดเชื้อเฉียบพลันโรคอักเสบเนื้องอกการบาดเจ็บ
  • High-sensitivity CRP (hs-CRP) assay
    • วัดได้ >  0.3 mg/L  ใช้ใน cardiovascular risk stratification
    • ควรเฉลี่ยค่าจาก > 2 ครั้ง ห่างกัน สัปดาห์ เพื่อความแม่นยำ

2. การตีความผล Standard CRP

CRP (mg/L)

ความหมายและข้อควรทำ

> 100

มักสัมพันธ์กับ bacterial infection มากที่สุด รองลงมาคือ neoplasm, autoimmune, autoinflammatory diseases  มักมีอาการชัดเจน ต้องรีบประเมินและรักษา

10–100

แสดงว่ามี clinically significant inflammation  ค้นหาสาเหตุ เช่น occult infection, early autoimmune/inflammatory disease

3–10

Low-grade inflammation  metabolic stress (obesity, DM, smoking), minor chronic inflammation (periodontitis, treated RA)

< 3

ปกติหรืออักเสบเล็กน้อยมาก  อาจพบในคนสุขภาพดี


3. การตีความผล hs-CRP (Cardiovascular Risk)

ใช้ใน ผู้ป่วย cardiovascular risk ระดับปานกลาง (10–20%/10 ปี) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น

hs-CRP (mg/L)

ความหมาย

> 3

Cardiovascular risk สูง  พิจารณาความเสี่ยง ASCVD เพิ่มเติม ถ้า >10  ค้นหาการติดเชื้อ/การอักเสบก่อน

1–3

Cardiovascular risk ปานกลาง

< 1

Cardiovascular risk ต่ำ


4. หลักการประเมินเพิ่มเติม

  • ตีความผล CRP ตาม clinical context:
    • อาการผู้ป่วย
    • Lab อื่น: ESR, CBC, LFT, culture
  • Repeat CRP:
    • ติดตามความรุนแรงโรค
    • ถ้าไม่มีสาเหตุชัดเจน  พิจารณา repeat ตามความเร่งด่วน
  • ไม่ควรใช้ CRP เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัย ต้องผสมกับ clinical + labs อื่น

5. Reference Range

  • hs-CRP< 3 mg/L (< 0.3 mg/dL)
  • Standard CRP< 3–5 mg/L  ขึ้นกับแต่ละ lab

 

Key Points สำหรับแพทย์

1.       CRP >100 mg/L  นึกถึง bacterial infection ก่อน  ประเมินและรักษาทันที

2.       10–100 mg/L  inflammation สำคัญ ต้องหาสาเหตุแฝง

3.       3–10 mg/L  metabolic stress หรือ inflammation เล็กน้อย

4.       hs-CRP > 3 mg/L  เพิ่มความเสี่ยง ASCVD ใน intermediate-risk patients

5.       ตีความผล ร่วมกับ clinical context และอาจ repeat เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของโรค

 


Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR)

1. พื้นฐานและความสำคัญ

  • ESR: การวัดอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (mm/hour)  เป็น ตัวบ่งชี้การอักเสบแบบ nonspecific
  • ต้อง ตีความร่วมกับอาการการตรวจร่างกาย, lab อื่น (เช่น CRP, CBC) และ context ทางคลินิก
  • ESR ที่ borderline < 20 mm/hr และไม่มีอาการมักไม่ต้องตรวจซ้ำ

2. การตรวจพื้นฐานที่ควรทำร่วมกัน

  • CBC with differential + platelet count
  • CRP
  • Basic chemistry: glucose, creatinine, LFT, calcium
  • พิจารณาตรวจเพิ่มตามอาการและโรคที่สงสัย

3. การตีความค่า ESR

3.1 Mild elevation (20–40 mm/hr)

  • อาจเกิดจาก acute/chronic inflammation หรือ non-inflammatory factors เช่น
    • Hematologic disorders, ESRD, อายุสูง, female sex, obesity/metabolic syndrome
  • การติดตาม:
    • ถ้า ESR และ CRP ปกติทั้งคู่  ภาวะอักเสบสำคัญไม่น่าเป็นไปได้
    • ถ้า ESR-CRP discordant:
      • CRP ขึ้นลงเร็วกว่า ESR
      • ESR อาจสูงกว่ามากใน SLE หรือ bone/joint infections
      • Non-inflammatory causes: anemia, gammopathies, nephrotic syndrome, technical errors
    • ถ้า ESR และ CRP สูงทั้งคู่  มีโอกาสเป็น inflammatory process  ประเมินเพิ่มเติม

3.2 Moderate to Marked elevation (> 40 mm/hr)

  • พบบ่อยใน infection, autoimmune diseases, malignancy
  • สาเหตุเฉียบพลันที่ควรพิจารณา:
    • Bacterial infection: arthritis, endocarditis, osteomyelitis
    • Inflammatory rheumatic diseases: giant cell arteritis, adult-onset Still's disease, polymyalgia rheumatica
    • Malignancy: มักพบใน widely metastatic disease หรือ multiple myeloma ถ้าค่าสูงมาก
    • อื่น ๆ: vasculitis, drug reactions, thrombophlebitis, nephrotic syndrome

4. Reference Range และการปรับค่า ESR

  • ชาย: 0–15 mm/hr
  • หญิง: 0–20 mm/hr
  • ESR เพิ่มตาม อายุ, female sex, obesity
  • การปรับตามอายุ:
    • ชาย = อายุ ÷ 2
    • หญิง = (อายุ + 10) ÷ 2

Key Points สำหรับคลินิก

1.       Mild ESR elevation  ตรวจซ้ำ + CRP ถ้าไม่ชัดเจนทางคลินิก

2.       Discordant ESR-CRP  พิจารณา kinetics, SLE, infection, hematologic หรือ renal factors

3.       Marked ESR elevation (> 40 mm/hr)  นึกถึง infection, autoimmune, malignancy เป็นหลัก

4.       ESR ใช้ติดตามโรคอักเสบเรื้อรัง  CRP เหมาะกับ acute inflammation มากกว่า



Procalcitonin (PCT) ใน LRTI (CAP/bronchitis/AECOPD/VAP)

1) ทำไมต้องใช้ PCT?

  • ช่วย แยกเชื้อแบคทีเรีย vs ไวรัส (แม้ไม่สมบูรณ์) ลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น (~25–50% ในหลายการศึกษา) โดย ใช้ร่วมกับ ดุลยพินิจทางคลินิก/ผลตรวจอื่น
  • ไม่ใช่ ตัวชี้ขาดในการ “เริ่ม” ยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยป่วยหนัก/สงสัย CAP ชัดเจน

2) ชีววิทยา & Kinetics ที่ใช้แปลผล

  • PCT ปกติ ตรวจไม่พบ/ต่ำมาก; ใน แบคทีเรีย: ถูกชักนำให้สร้างในเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย (endotoxin, TNF-α, IL-1β, IL-6)
  • ไวรัส: โดยมาก ไม่ขึ้น (ยกเว้นบางกรณี/CCOVID-19 รุนแรง) จากการยับยั้งโดย IFN-γ
  • เริ่มสูง 2–4 ชม., peak 24–48 ชม., ครึ่งชีวิตลดลง ~50% ทุก 24–36 ชม. หากควบคุมการอักเสบได้
  • ค่าขึ้น สัมพันธ์ความรุนแรง (สูงสุดใน sepsis/ช็อก)

3) เกณฑ์ใช้งานที่พบบ่อย (ใช้ ร่วมกับอาการ/สัญญาณ/ภาพถ่ายรังสี)

การหยุดยาปฏิชีวนะ (de-escalation/stop):

  • ผู้ป่วยทั่วไป/คงที่ (stable LRTI/CAP):
    • PCT <0.25 ng/mL หรือ ลดลง 80% จากค่าสูงสุด + อาการทางคลินิกดีขึ้น พิจารณาหยุด
    • ถ้ายัง 0.25 แต่ แนวโน้มลดลงชัด + ดีขึ้นทางคลินิก ให้ต่อได้ แล้วประเมินซ้ำ
  • ผู้ป่วยหนัก/ICU/Sepsis/VAP:
    • ใช้เกณฑ์หยุดที่ เข้มผ่อนน้อยกว่า: PCT 0.5 ng/mL หรือ ลดลง 80% จาก peak (หลาย RCT ใช้เกณฑ์นี้)
    • ห้าม ชะลอ/งดเริ่มยาปฏิชีวนะเพราะ PCT ต่ำในรายวิกฤต

การเริ่มยาปฏิชีวนะ:

  • CAP โดยรวม: เริ่มเชิงประจักษ์ตามแนวทาง โดยไม่รอ PCT
  • บางรายเสี่ยงต่ำ/สงสัยไวรัสชัด + PCT <0.25 และ ติดตามใกล้ชิด อาจ งดยา ได้ (เลือกสรร)

4) ค่าที่พบแตกต่างตามเชื้อ/โรค

  • Typical bacteria (เช่น S. pneumoniae, H. influenzae): ค่าสูงกว่า atypical และ ไวรัส (ค่ามัธยฐาน CAP โดย typical มัก ~หลาย ng/mL; atypical/ไวรัส ต่ำกว่าอย่างชัด)
  • เชื้อรา/ปรสิตบางชนิด (Candida, P. jirovecii, malaria) อาจทำให้ PCT สูงได้ แต่โดยมากต่ำกว่า แบคทีเรียรุกราน
  • COVID-19: โดยมาก ต่ำ; สูงขึ้นตามความรุนแรง (ไม่จำเพาะแบคทีเรียซ้อน)

5) บทบาทตามโรค/สถานการณ์

  • CAP (inpatient): เหมาะที่สุดในการ หยุดยาเร็ว ด้วยเกณฑ์ข้างต้น; ไม่แนะนำ ใช้ตัดสินใจ “เริ่ม”
  • CAP (outpatient): ข้อมูลจำกัด; บางแห่งใช้ร่วมผลไวรัสเพื่อ งดยา/หยุดเร็ว ในรายเสี่ยงต่ำ
  • VAP/HAP: เริ่มยาตามคลินิก; ใช้ PCT ช่วย พิจารณาหยุด (เกณฑ์คล้าย ICU) มากกว่าการเริ่ม
  • AECOPD: หลาย RCT ลดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ แต่ ผลไม่สม่ำเสมอ; อย่าใช้ เพื่อ งดเริ่ม ในรายรุนแรง/ICU
  • Acute bronchitis: ไม่ตรวจเป็น routine; ใช้เมื่อ ไม่แน่ใจ และ PCT ต่ำ (<0.25) สนับสนุน งดยา

6) การตีความแบบ “แนวโน้ม” (trend)

  • ลดลงตามครึ่งชีวิตคาดได้ ตอบสนองดี
  • ทรงตัว/เพิ่มขึ้น ทั้งที่ให้ยาถูกต้อง ทบทวนวินิจฉัย (เชื้อดื้อ/แหล่งติดเชื้อ, ภาวะไม่ติดเชื้อที่ดัน PCT, ภาวะแทรกซ้อน)

7) ข้อจำกัด/กับดักที่พบบ่อย

False positive / ค่าสูงที่ไม่ใช่แบคทีเรีย:

  • Stress ใหญ่: ผ่าตัด, polytrauma/แผลไหม้กว้าง, shock/cardiac arrest, pancreatitis, ICH/SAH
  • โรคตับรุนแรง, มะเร็ง neuroendocrine/medullary thyroid, ยากดภูมิ/ชีวภาพบางชนิด
  • CKD/ESRD: baseline สูงกว่า (ก่อน HD อาจ ~0.26–1.0 ng/mL; หลัง HD ลด 20–80% ตามชนิดการฟอก) พึ่งพา “trend” มากกว่าค่าเดี่ยว; บางสำนักใช้ threshold สูงขึ้น ใน CKD

False negative:

  • ตรวจ เร็วเกินไป (<2–4 ชม.แรก), การติดเชื้อจำกัดเฉพาะที่ (sinusitis, tonsillitis, cystitis, SSTI (skin/soft tissue infection) uncomplicated, abscess/empyema)

8) ข้อควรทำ/ไม่ควรทำ (Do/Don’t)

Do

  • ใช้ serial PCT (ทุก 24–48 ชม.) ร่วมกับสัญญาณทางคลินิก/ภาพถ่าย/จุลชีววิทยา
  • ใช้ หยุดยาเร็ว เมื่อเข้าเกณฑ์ (stable: <0.25 หรือ ↓≥80%; ICU: 0.5 หรือ ↓≥80%)
  • พิจารณา พื้นฐาน CKD/ช่วงเวลา HD ก่อนแปลผล

Don’t

  • อย่า หน่วง/งด เริ่มยาปฏิชีวนะในรายหนัก/CAPชัด เพราะ PCT ต่ำ
  • อย่าใช้ค่าเดี่ยว โดยไม่ดูบริบท/เวลาเริ่มอาการ
  • อย่าปล่อยให้ algorithm แทนที่ clinical judgment

9) Mini-algorithm (พิมพ์ติดตู้เวร)

1.       สงสัย LRTI/CAP เริ่มประเมินตามแนวทางมาตรฐาน (อย่าหน่วงยาหากหนัก) + PCT baseline

2.       ทบทวน 24–48 ชม.: PCT ลดลงชัด/ต่ำ + ดีขึ้นทางคลินิก ลด/หยุดยา ตามเกณฑ์

3.       PCT คงที่/สูงขึ้น หรือทรงตัว >0.25–0.5 + อาการไม่ดี หาสาเหตุอื่น/เปลี่ยนแผน (resistance, แหล่งติดเชื้อ, noninfectious)

4.       CKD/HD เน้น trend; จดเวลา ก่อน/หลัง HD ในใบสั่งตรวจทุกครั้ง

 

ตัวเลขจำง่าย

  • เริ่มสูง: 2–4 ชม. | Peak: 24–48 ชม. | ลดลง: 50% ทุก ~1–1.5 วัน
  • หยุดยา (stable): <0.25 ng/mL หรือ ↓≥80% + ดีขึ้น
  • หยุดยา (ICU/VAP): 0.5 ng/mL หรือ ↓≥80%
  • งดยาเริ่มต้น: พิจารณาเฉพาะรายเสี่ยงต่ำ/สงสัยไวรัสชัด + PCT <0.25 และ ติดตามใกล้ชิด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น