วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Anaphylaxis

Anaphylaxis


Pathophysiology

1) กลไกกำเนิดปฏิกิริยา

  • Immunologic
    • IgE-mediated (หลัก): Allergen cross-link IgE ที่จับ FcεRI บน mast cell/basophil สัญญาณภายในเซลล์ degranulation (histamine/tryptase ฯลฯ) + newly synthesized mediators (leukotrienes, prostaglandins, PAF (platelet activating factor), cytokines).
    • IgG/immune-complex/complement: ชัดในสัตว์; มนุษย์มีหลักฐานอ้อม (เช่น PAF สูง/PAF-acetylhydrolase ต่ำ) และอาจเกี่ยวข้องกับบางเคส peri-operative.
  • Non-immunologic (pseudo-allergic):
    • การกระตุ้น MRGPRX2 บน mast cell โดยยาบางชนิด (fluoroquinolones, NMBAs บางตัว, vancomycin, opioids) degranulation โดยไม่ต้องมี IgE.
    • การกระตุ้น complement/kinin–kallikrein (เช่น สารพา/ตัวทำละลายบางชนิด) C3a/C5a, bradykinin เพิ่มขึ้น vasodilation/vascular leak.

2) ตัวกลางเคมี (Mediators) หลักและผล

  • Histamine:
    • H1 bronchoconstriction, pruritus, vasodilation/vascular permeability
    • H2 chronotropy/inotropy , vasodilation; ร่วมกับ H1 ทำให้ hypotension/flushing
  • Tryptase: ชี้ mast-cell activation; กระตุ้น complement/coagulation/kinin; มักสูงใน venom/ยาฉีด มากกว่าอาหาร
  • Leukotrienes (LTC4/D4/E4): bronchospasm แรง, vascular leak
  • PGD2: bronchoconstriction, vasodilation/vasopermeability
  • PAF (platelet-activating factor): vasodilation, myocardial depression, platelet activation; ความแรงของอาการสัมพันธ์ PAF/PAF-AH(platelet-activating factor acetylhydrolase)
  • Cytokines (TNF, IL-4/IL-13): เสริมการอักเสบ และเพิ่มความไวของ target cells ต่อ mediators
  • NO (eNOS/iNOS): vasodilation เด่น hypotension

3) ชีวกลศาสตร์ของช็อก

  • Distributive + Hypovolemic shock ผสมกัน:
    • Vasodilation/SVR จาก histamine/NO/PAF
    • Vascular leak รุนแรง third spacing อาจสูญเสีย intravascular volume ~30–35% ภายในนาที
    • Myocardial dysfunction จาก PAF/mediators ช่วยเสริมให้เลือดไหลเวียนล้มเหลว
  • Reflex/ภาวะร่วม:
    • Bradycardia แบบ relative/absolute อาจพบ (Bezold–Jarisch reflex, C5a/adenosine ฯลฯ)
    • Posture effect: ยืน/นั่งใน hypotension venous return ลด empty-ventricle PEA”

4) ระบบอวัยวะเป้าหมาย (Shock organs)

  • หัวใจ–หลอดเลือด: coronary vasospasm (Kounis), arrhythmias, myocardial depression; coagulation/contact system activation DIC ได้
  • ปอด/ทางเดินหายใจ: upper-airway angioedema, laryngospasm; lower-airway bronchospasm/air-trapping; ผู้ป่วย หืด เสี่ยงเสียชีวิต
  • เมตาบอลิซึมรอบนอก: skeletal muscle hypoperfusion + อัตราใช้ออกซิเจนยังสูง anaerobic lactate เร็ว

5) ตัวกำกับการตอบสนอง

  • ระดับเซลล์: สัญญาณผ่าน FcεRI, MRGPRX2; modulators เช่น heparin/chymase (ต้าน complement/เพิ่ม Ang II)
  • Eosinophils: ทั้ง pro- และ anti-inflammatory (metabolize mediators/ปล่อย granule proteins)
  • ปัจจัยพันธุกรรม/คลอนนัล: Baseline tryptase สูง หรือ KIT D816V mast-cell disorders เสี่ยง anaphylaxis รุนแรง

6) ชีวเครื่องหมาย (Biomarkers) ที่เกี่ยวข้องกับพยาธิสรีรวิทยา

  • Serum tryptase: เจาะที่ 1–3 ชม.แรก (acute) + baseline (ยืนยัน mast-cell activation/หามะเร็งแมสต์เซลล์)
  • PAF / PAF-acetylhydrolase: สัมพันธ์ความรุนแรง (ใช้วิจัยมากกว่าคลินิก)
  • Complement/Coagulation panels: อาจผิดปกติในเคสรุนแรง/สงสัย DIC

7) ลักษณะเวลา

  • เริ่มอาการ นาที–ชั่วโมง ตามเส้นทางรับสาร (IV/ฉีดเร็วกว่าอาหาร)
  • Biphasic ~5%: กลับเป็นซ้ำโดยไม่มี exposure ซ้ำ (กลไกจาก mediators/เซลล์ยังไม่ชัดเจน)
  • Protracted: ดำเนินนานหลายชั่วโมง–วัน จาก mediator cascade/contact–coagulation activation ต่อเนื่อง

 

ภาพรวม: anaphylaxis คือ “mast-cell/basophil–mediator storm” ที่ทำให้ vasodilation + vascular leak + bronchospasm + myocardial dysfunction ดำเนินเร็วและอาจก่อ shock แบบผสม — ความรุนแรงถูกกำหนดโดยชนิด/ปริมาณตัวกลางเคมี, เส้นทางรับสาร, ภาวะไวของเป้าหมาย, และพื้นฐานของผู้ป่วย (หืด, clonal mast cell, ยาที่ใช้).


Acute Diagnosis

เกณฑ์วินิจฉัยที่ใช้จริง

เกณฑ์ NIAID/FAAN (2006) — เข้าได้ข้อใดข้อหนึ่ง

1.       เริ่มเฉียบพลัน + อาการ ผิวหนัง/เยื่อบุ (ลมพิษ/คัน/แดง/บวมปาก–ลิ้น–ลิ้นไก่) ร่วมกับอย่างน้อย 1 อย่าง

o   ทางเดินหายใจผิดปกติ: หอบ/วี้ด/เสียง stridor/SpO₂↓/PEF

o   ไหลเวียนผิดปกติ: BP หรืออาการ hypoperfusion (collapse, syncope, incontinence)

2.       หลังสัมผัสสารที่น่าจะเป็นสารก่ออาการ เกิดอย่างน้อย 2 ระบบ อย่างรวดเร็ว

o   ผิวหนัง–เยื่อบุ

o   ทางเดินหายใจผิดปกติ

o   ไหลเวียนผิดปกติ

o   อาการทาง GI ที่คงอยู่อย่างเด่น (ปวดบิดอุทร อาเจียน)

3.       ความดันต่ำหลังสัมผัสสารที่รู้ว่าแพ้ (แม้เป็นระบบเดียว)

o   ผู้ใหญ่: SBP <90 mmHg หรือ ลด >30% จากพื้นฐาน

o   เด็ก/ทารก (SBP ต่ำตามอายุ):

§  1ด.–<1ปี: <70

§  1–10ปี: <70 + (2×อายุ)

§  11–17ปี: <90

หมายเหตุ: แม้ไม่เข้าเกณฑ์ครบ แต่ สงสัยสูง (เช่น ประวัติแอนาฟิแล็กซิสต่อถั่ว + ผื่นลมพิษทันทีหลังรับประทาน) ให้จัดการเป็น anaphylaxis ได้

เกณฑ์ WAO (2020) — ย่อเหลือ 2 ข้อ

A) เฉียบพลัน + ผิวหนัง/เยื่อเมือก ร่วมกับ 1 อย่าง:

  • ทางเดินหายใจผิดปกติ
  • ไหลเวียนล้มเหลว/อาการ end-organ
  • GI รุนแรง (โดยเฉพาะ non-food triggers)

B) หลังสัมผัสสารก่ออาการที่ “แน่ชัด/น่าเชื่อสูง” เกิด hypotension หรือ bronchospasm หรือ laryngeal involvement แม้ไม่มีผื่น


อาการ/สัญญาณที่พบบ่อย (จำลำดับคิดเร็ว)

  • ผิวหนัง/เยื่อเมือก (~90%): ลมพิษ คัน แดง บวมปาก–ลิ้น–เปลือกตา (ถามย้อนหลังเพราะอาจหายก่อนมาถึง)
  • ทางเดินหายใจ (85%): น้ำมูก คัดจมูก คันคอ/หู เสียงเปลี่ยน รู้สึกคอปิด stridor หอบ วี้ด ไอ
  • ทาง GI (45%): คลื่นไส้ อาเจียน ปวดบิด ท้องเสีย
  • หัวใจและหลอดเลือด (45%): เวียนศีรษะ เป็นลม กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่อยู่ ช็อก ชีพจรเร็ว/ช้า

รูปแบบเวลา (Temporal patterns)

  • Uniphasic (~95%): พีกในไม่กี่ชั่วโมง แล้วทุเลา
  • Biphasic (~5%): กลับมาเป็นซ้ำใน 1–48 ชม. (บ่อยสุดภายใน 12 ชม.); ระยะแรกหนัก/ต้องใช้ epi >1 โดส เสี่ยงสูง
  • Protracted: ยืดเยื้อหลายชม.–วัน
  • Delayed: เริ่มช้าเป็นชั่วโมง (เช่น alpha-gal)

“Diagnostic Pitfalls” ที่พบบ่อย

  • ไม่จำเป็นต้องมีความดันต่ำ ถึงจะเรียก anaphylaxis (ตามเกณฑ์ 1–2)
  • วัด BP เร็วเกิน/ cuff เล็กไป/วัดหลังฉีด epi หลอก ว่าปกติ
  • ผื่นอาจไม่มี/ถูกกดด้วย antihistamine หรือไม่ทันสังเกต (ผ่าตัด/ดมยาสลบ)
  • Asthma flare หลังสัมผัส trigger ที่ชัด อาจคือ anaphylaxis (โดยเฉพาะมีกลุ่มอาการอื่นร่วม)
  • ผู้ป่วยรายแรกในชีวิต/มีปัจจัยกดการรับรู้ (ยากล่อมประสาท แอลกอฮอล์) ซักประวัติอาการนำให้ครบ

ปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการรุนแรง/วินิจฉัยต้องไว

  • โรคร่วม: หอบหืดควบคุมไม่ดี, CVD/ผู้สูงอายุ, โรคปอดเรื้อรัง, การติดเชื้อเฉียบพลัน/Exercise/Stress
  • ยา: β-blocker, ACE-I, α-blocker (อาจทำให้รุนแรง/ตอบสนองต่อการรักษาแย่ลง), NSAIDs/โอปิออยด์/แอลกอฮอล์ (กระตุ้น mast cell แบบไม่อิมมูน)

แล็บที่ “ช่วยยืนยันภายหลัง” (อย่ารอเพื่อเริ่มการรักษา)

  • Serum/Plasma total tryptase
    • เก็บ 15 นาที–3 ชม. หลังเริ่มอาการ (ยังมีประโยชน์ได้ถึง 6 ชม.)
    • มักขึ้นใน พิษแมลง/ยาฉีด หรือ มีความดันต่ำ; อาหาร มักไม่ขึ้น
    • แนวทางการแปลผลที่ไวขึ้น: เพิ่ม 2 + 1.2×baseline (ng/mL) เมื่อเทียบค่าพื้นฐาน (เจาะซ้ำหลังหายสนิท 24 ชม.)
    • ถ้า ยังสูงที่ 24 ชม. ส่งต่อประเมิน mast cell disorders
  • Plasma histamine
    • พีก 5–15 นาที, กลับปกติใน ~60 นาที ใช้ได้เมื่ออยู่ในโรงพยาบาลพร้อมเก็บเร็ว (ต้องดูแลตัวอย่างพิเศษ: เข็มคอกว้าง–เย็น–ปั่นทันที–แช่แข็งพลาสมา)
    • Urine histamine metabolites (24 ชม.) เป็นทางเลือกถ้าเก็บเลือดไม่ทัน

ประเด็นสำคัญ: Anaphylaxis เป็นการวินิจฉัยเชิงคลินิกเมื่อเข้าเกณฑ์/สงสัยสูง ให้ลงมือรักษาทันที; ผลแล็บมีไว้ “ยืนยันย้อนหลัง/หาสาเหตุ”


แยกโรคสำคัญ (จำให้ไวที่หน้างาน)

  • ลมพิษ/Angioedema เฉียบพลัน (ไม่มีระบบอื่น), Asthma exacerbation, Vasovagal syncope, Panic/Anxiety, Croup/epiglottitis, Aspiration, Hypoglycemia/Stroke/Seizure (อาการระบบประสาทนำ), Carcinoid/Flush syndromes, Septic shock ฯลฯ

เคล็ดลับ ED/คลินิก (ด้านการวินิจฉัย)

  • ถาม trigger ชัด/เวลาหลังสัมผัส + ลำดับอาการ
  • ตรวจ ผิวหนังทั่วตัว/ช่องปาก/ลิ้น/คอหอย ทุกเคสที่สงสัย
  • วัด BP ซ้ำด้วย cuff ขนาดถูก + เฝ้าดู SpO/PEF หากหายใจลำบาก
  • ประเมิน ความเสี่ยง biphasic เพื่อกำหนดเวลาสังเกตอาการ (อย่างน้อย 4–6 ชม.; นานกว่านั้นถ้าอาการหนัก/ต้อง epi หลายโดส)

Emergency Treatment in Anaphylaxis

เป้าหมายสำคัญ

  • ให้ IM epinephrine โดยเร็วที่สุด เมื่อ “สงสัยสูงหรือเข้าเกณฑ์” anaphylaxis — ห้ามรอผลแล็บ/การยืนยันอื่น
  • ป้องกันการลุกลามสู่ ทางเดินหายใจล้มเหลว/ช็อก

ABC เตรียมทีม และทำพร้อมกัน

  • เรียกทีมกู้ชีพ/EMS (ระบุคำว่า “anaphylaxis”)
  • Airway: ประเมินทันที; มี stridor/เสียงเปลี่ยน/ลิ้น–คอหอยบวม เตรียม intubation เร็ว; ถ้า “can’t intubate, can’t oxygenate” cricothyrotomy
  • Breathing: ให้ออกซิเจน NRM 15 L/min (70–100% O) จนมั่นใจว่าไม่มีอุดกั้น/ bronchospasm รุนแรง
  • Circulation: นอนหงาย ชันขา (pregnancy ตะแคงซ้าย); สองเส้น IV ใหญ่ (14–16G) หรือ IO; monitor BP/HR/RR/SpO ต่อเนื่อง; หยุดสารกระตุ้น (หยุดน้ำเกลือยาที่สงสัย ฯลฯ)

ยาหลัก: Epinephrine

IM (ทางเลือกแรกสำหรับทุกช่วงวัย)

  • ขนาด: 0.01 mg/kg IM (สารละลาย 1 mg/mL) สูงสุด 0.5 mg/โดส
    จุดฉีด: กลางต้นขาด้านนอก (vastus lateralis)
  • ทวนซ้ำ: ทุก 5 นาที หากตอบสนองไม่พอ
  • แนวทางประเมินรวดเร็ว (เมื่อไม่มีเวลาชั่งน้ำหนัก):
    • <10 kg: พยายามชั่ง/กะชั่งให้แม่น; ถ้าจะช้า 0.1 mg ชั่วคราว
    • 10–25 kg: 0.15 mg
    • >25–50 kg: 0.3 mg
    • >50 kg: 0.5 mg (ถ้าอ้วน ใช้เข็ม 1.5")
  • ระวัง: IM เร็วและปลอดภัยกว่าฉีดใต้ผิวหนัง/IV bolus

เมื่ออาการยังหนักหลัง IM + ของเหลว

  • เตรียม IV infusion epinephrine ไว้เร็ว (ดีกว่า IV bolus)
  • เริ่มอัตรา: 0.1 mcg/kg/min (ช่วง 0.05–0.2) ปรับทุก 2–3 นาทีตาม BP/สัญญาณชีพ
    • ผู้ใหญ่/วัยรุ่น: ใช้สารละลายมาตรฐาน เช่น 1 mcg/mL (ใส่ epi 1 mg ใน NSS 1,000 mL) หรือ 4 mcg/mL (1 mg ใน 250 mL) หากให้สารน้ำมากแล้ว
    • ทารก/เด็กเล็ก: ใช้ 10 mcg/mL (1 mg ใน 100 mL) เพื่อลดปริมาตร
  • เลี่ยง IV bolus; ทำเฉพาะกรณี ใกล้ arrest ขณะยังไม่มี infusion พร้อม (ให้ช้า ๆ 50–100 mcg จากสารละลาย 0.1 mg/mL ที่เจือจางต่ออีกชั้น พร้อม monitoring ใกล้ชิด) **ขนาด 1/10 ของ cardiac arrest

Intranasal epinephrine

  • มีผลิตภัณฑ์ 1–2 mg ใช้ได้ แต่ หลักฐานในภาวะช็อกจริงยังจำกัด ยังคงแนะนำ IM เป็นหลัก

สารน้ำ (สำคัญมากโดยเฉพาะมี hypotension)

  • ผู้ใหญ่: 1–2 L crystalloid ช่วงไม่กี่นาทีแรก; อาจต้องมากถึง 4–7 L
  • เด็ก: 20 mL/kg bolus (5–10 นาที) ทวนซ้ำได้; รวมอาจถึง 100 mL/kg
  • เฝ้าระวัง volume overload อย่างใกล้ชิด

ยาช่วยเสริม (หลังฉีด epi แล้ว และเฉพาะอาการหลงเหลือ)

  • β2-agonist พ่น/neb: สำหรับ bronchospasm ที่ไม่ตอบสนอง epi
  • H1-antihistamine รุ่น 2 (เช่น cetirizine IV/PO): คัน/ลมพิษที่เหลืออยู่ (หลีกเลี่ยง sedation เกินจำเป็น)
  • H2-antagonist (เช่น famotidine IV): อาจช่วยคัน/ผื่น (หลักฐานจำกัด)
  • Glucocorticoid: ไม่ให้เป็น routine; พิจารณาเมื่อมี bronchospasm ดื้อยา/อาการรุนแรงต้อง IM epi >2 โดส หรือใช้ IV epi (prednisolone 40-60 mg PO หรือ 1-2 mg/kg max 60 ในเด็ก)

กรณีพิเศษ

  • ผู้ใช้ β-blocker และดื้อต่อ epi Glucagon
    • ผู้ใหญ่: 1–5 mg IV ช้า 5 นาที, ต่อด้วย infusion 5–15 mcg/min
    • เด็ก: 20–30 mcg/kg IV ช้า (สูงสุด 1 mg), ต่อ 5–15 mcg/min (titrate)
    • เสี่ยง อาเจียน ระวังทางเดินหายใจ
  • ตั้งครรภ์: ให้นอน ตะแคงซ้าย, O สูง, รักษา SBP 90 mmHg, เฝ้าระวังทารกต่อเนื่อง

Refractory anaphylaxis

นิยาม: อาการยังเป็นอยู่แม้ให้ IM epi 3 โดส (หรือเริ่ม IV infusion) + จัดการตามอาการเหมาะสมแล้ว
การจัดการเพิ่มเติม:

  • เพิ่ม/สลับ vasopressor: norepinephrine, vasopressin, dopamine (ร่วมกับ epi infusion + สารน้ำเพียงพอ)
  • Methylene blue (vasoplegia ที่ดื้อ): 1–2 mg/kg IV (20–60 นาที) — หลักฐานจำกัด
  • ECMO: พิจารณาเร็วในศูนย์ที่พร้อม หากช็อก/หายใจล้มเหลวที่ไม่ตอบสนองเต็มที่

การสังเกตอาการ (Observation)

  • ทุกคน: เฝ้าดูจน อาการหายสนิท + ไร้อาการอย่างน้อย 1 ชม.
  • ความเสี่ยงสูง (เริ่มรุนแรง: hypotension/hypoxia, ต้อง epi >2 โดส, ให้ epi ช้า, severe asthma ฯลฯ): สังเกตอย่างน้อย 12 ชม. (รวมไร้อาการ 4 ชม.) ปรับตามบริบทและความพร้อมกลับมารับฉุกเฉิน

แผนกลับบ้าน (Discharge)

  • ให้/สอนใช้ อุปกรณ์ epinephrine 2 ชุด (autoinjector หรือ intranasal ตามข้อบ่งชี้) + แผนฉุกเฉินเป็นลายลักษณ์อักษร
  • แนะนำ หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น, อธิบาย โอกาส biphasic (5%) และ ให้ฉีด epi ทันที หากอาการรุนแรงกลับมา
  • ติดตามแพทย์ภูมิแพ้ เพื่อยืนยันสาเหตุ/ลดความเสี่ยงซ้ำ
  • ยาเสริมกลับบ้าน: antihistamine ตามอาการผื่นคัน; ไม่จำเป็นต้องสเตียรอยด์ taper

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาด ต่อการใช้ epinephrine ใน anaphylaxis
  • หลีกเลี่ยง IV bolus epi เว้นจำเป็นเร่งด่วนจริง; infusion ดีกว่า/ปลอดภัยกว่า
  • วัด BP ให้ถูกต้อง (cuff พอดีแขน) และ อย่าจับให้นั่ง/ยืนในราย hypotension (เสี่ยง “empty ventricle syndrome”)

สรุป: IM epinephrine เร็ว–ซ้ำได้ + สารน้ำมากพอ + ประเมิน/จัดการทางเดินหายใจแต่เนิ่น ๆ คือหัวใจการรักษา; ขยายไปสู่ IV infusion/vasopressor/มาตรการขั้นสูง เฉพาะรายที่ดื้อรักษา พร้อมวางแผนสังเกตอาการและป้องกันการเกิดซ้ำก่อนกลับบ้าน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น